รู้จัก “ฉลากเขียว” เครื่องหมายช่วยสะท้อนความยั่งยืนของแบรนด์ต่อสิ่งแวดล้อม
ฉลากเขียวของประเทศไทย ริเริ่มขึ้นโดยองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Thailand Business Council for Sustainable Development, TBCSD)
กลายเป็นประเด็นดราม่ากันในโลกสังคมออนไลน์ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมากับงานวิ่งการกุศล Charity Chonburi marathon 2018 ที่ผู้เข้าร่วมบ่นกันระงมกับความไม่พร้อมของฝ่ายจัดการแข่งขันที่จัดเตรียมน้ำดื่มไม่พอกับนักวิ่ง ถึงกระทั่งต้องแจกน้ำแข็งให้อมเพื่อบรรเทาอาการกระหายน้ำ
เรื่องนี้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ได้แสดงความคิดเห็นผ่านทางเฟซบุ๊กไปในทิศทางเดียวกันหมด คือกล่าวตำหนิฝ่ายจัดการแข่งขันที่ไม่มีการวางแผน ไม่ว่าจะเป็น เชษฐ์-วรเชษฐ์ เอมเปีย ศิลปินวงสไมล์บัฟฟาโล่ ที่โพสต์สรุปใจความว่า เกือบเอาชีวิตกลับมาไม่รอดจากงานวิ่งชาริตี้ ชลบุรี มาราธอน งานนี้ทุกๆ คนเสียเงินค่าสมัครตามระยะทาง แต่ไม่มีน้ำกิน…จบครับ..เหรียญที่ได้มา ไม่ขอเก็บไว้ จะไว้ให้เด็กๆ โรงทานผม..ราคาวิ่งดูตามภาพสุดท้ายครับ ที่ทุกคนสมัครวิ่ง จำนวน หมื่นกว่าคน เป็นเงินเท่าไร เห็นนักวิ่งบางคนร้องไห้ เพราะไม่มีน้ำกิน บางคนเก็บน้ำข้างทางกิน บางคนเอามือรองน้ำกิน
เช่นเดียวกับ ท๊อฟฟี่-ศิวดล จันทนเสวี หรือรู้จักกันดีว่า ท๊อฟฟี่ 3.50 ที่โพสต์ทำนองเดียวกันว่า ผู้จัดมีการเตรียมน้ำมาไม่เพียงพอให้นักวิ่งได้ดื่ม โดยมีการประกาศแจ้งให้นักวิ่งทราบว่าไม่มีน้ำตั้งแต่ออกสตาร์ทไปได้เพียง 5 กิโลเมตร สำหรับผู้ที่เข้าร่วมวิ่งในรุ่น 21 กิโลเมตร
สำหรับในเรื่องนี้ นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ แพทย์ประจำทีมฟุตบอลทีมชาติไทย และสโมสรสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ดฯ ออกมากล่าวในเรื่องนี้ผ่านทางเฟซบุ๊กว่า การวิ่งระยะตั้งแต่ฮาลฟ์มาราธอนขึ้นไป เป็นการออกกำลังกายต่อเนื่องมากกว่าชั่วโมงครึ่งหรือสองชั่วโมง ซึ่งจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงการทำงานของร่างกายอย่างมากมายที่บางส่วนอาจส่งผลต่อชีวิตได้เลย อย่างเรื่องน้ำ อย่าคิดว่าไม่สำคัญ!!!! ในการวิ่งมาราธอน นักวิ่งจะเสียน้ำจากทางเหงื่อ และจากทางการหายใจรวมแล้วอาจถึง 5 ลิตรเลยทีเดียว
การขาดน้ำจะส่งผลโดยตรงต่อปริมาณน้ำเลือด ทำให้ร่างกายมีน้ำเลือดลดลง เมื่อน้ำเลือดลดลงก็ย่อมส่งผลต่อหัวใจ และการแลกเปลี่ยนก๊าซจากการหายใจตามมาอีกเป็นพรวน ซึ่งการขาดน้ำเป็นความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้เลย นอกจากนี้ควรเตรียมเกลือแร่ และสารให้พลังไว้ให้กับนักวิ่งด้วย โดยต้องแยกออกจากน้ำเปล่า