เผย ธุรกิจที่เข้ามาลงทุนมากที่สุดใน EEC ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา


นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยสถิติการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC บนพื้นที่จังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ย. 61) พบว่ามีจำนวน 5,472 ราย เพิ่มขึ้น 6.96% มีมูลค่าทุนจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจรวม 14,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.18% โดยประเภทธุรกิจที่มีการจดทะเบียนสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่

  • อสังหาริมทรัพย์ 950 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 3,359.35 ล้านบาท
  • ก่อสร้างอาคารทั่วไป 457 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 643.55 ล้านบาท
  • ร้านอาหาร-ภัตาคาร 214 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 459.31 ล้านบาท

คาดว่ายอดการจดทะเบียนจัดตั้งในเขต EEC ปีนี้จะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% เมื่อเทียบกับก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการส่งเสริมลงทุนใน EEC และการให้สิทธิประโยชน์การลงทุนอย่างต่อเนื่องของภาครัฐฯ จึงทำให้ SMEs เข้ามาจัดตั้งธุรกิจ เพื่อรองรับการขยายตัวของประชากร ทั้งด้านที่อยู่อาศัย รวมถึงภาคบริการอย่าง โลจิสติกส์ ปัจจุบันอัตราธุรกิจที่คงอยู่ใน EEC ณ 30 ก.ย. 61 มีทั้งสิ้น 65,800 ราย เพิ่มขึ้น 5.32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน มูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 1.81 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.48% แบ่งเป็นธุรกิจคงอยู่ในแต่ละจังหวัดดังนี้

  • ฉะเชิงเทรา 5,150 ราย (7.82%) มูลค่าทุนจดทะเบียน 172,000 ล้านบาท
  • ชลบุรี 48,200 ราย (73.30%) มูลค่าทุนจดทะเบียน 1.060 ล้านล้านบาท
  • ระยอง 12,400 ราย (18.88%) มูลค่าทุนจดทะเบียน 575,000 ล้านบาท

ซึ่งเป็นธุรกิจขนาดเล็ก 62,900 สัดส่วน 95.52% รองลงมาขนาดกลาง 1,703 ราย (2.58%) และขนาดใหญ่ 1,252 ราย (1.90%) แบ่งเป็นภาคบริการ 40,200 ราย (61.09%) ค้าส่งค้าปลีก 15,500 ราย (23.62%) และภาคการผลิต 10,000 ราย (15.29%) ด้านการลงทุนของต่างชาติ (ต่างชาติถือหุ้นไม่เกิน 49.99%) มีมูลค่า 698,000 ล้านบาท สัดส่วน 38.48% ของมูลค่าทุนทั้งหมด

  • โดยญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนสูงสุด 360,000 ล้านบาท สัดส่วน 51.59%
  • อันดับ 2 จีน 43,700 ล้านบาท สัดส่วน 6.27%
  • อันดับ 3 สิงคโปร์ 36,100 ล้านบาท สัดส่วน 5.18%
  • อันดับ 4 สหรัฐฯ 26,800 ล้านบาท สัดส่วน 3.85%
  • อันดับ 5 เกาหลีใต้ 19,700 ล้านบาท สัดส่วน 2.83%

โดยจังหวัดที่ต่างชาติลงทุนสูงสุด คือ ระยอง 380,000 ล้านบาท ชลบุรี 246,000 ล้านบาท และฉะเชิงเทรา 71,200 ล้านบาท