ธุรกิจด้านโลจิสติกส์ กลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยข้อมูลจากสำนักพัฒนาและส่งเสริมธุรกิจบริการ พบว่า ในปี 2560 ธุรกิจด้านโลจิสติกส์มีมูลค่าประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนมาจากการเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ตของประชาชนที่มากยิ่งขึ้น รวมถึงพฤติกรรมของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากกว่าเดิม เช่นเดียวกับผู้ประกอบที่หันมาใช้ช่องทางออนไลน์ขายสินค้าเช่นกัน
ด้วยการเติบโตที่ก้าวกระโดด จึงทำให้หลายแบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่ไม่เคยอยู่ในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ หันมาให้ความสนใจ ขอเข้ามาเป็นผู้ท้าชิงลงแข่ง เพื่อสร้างบริการ เป็นทางเลือกให้กลุ่มผู้บริโภค อย่างล่าสุด ที่ใครจะคาดคิดว่า 7-Eleven ที่ทำธุรกิจร้านสะดวกซื้อมาอย่างยาวนาน จะผันตัวเองมาเปิดให้บริการรับ-ส่งพัสดุ 24 ชั่วโมง กับ “SPEED-D” โดยเริ่มนำร่องให้บริการใน 4 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ, นนทบุรี, ปทุมธานี และสมุทรปราการ กว่า 3,700 สาขา ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งชูจุดเด่นตรงที่ส่งง่าย รับสะดวก บริการตอบโจทย์ยุค 4.0

อาจจะกล่าวได้ว่าข้อได้เปรียบของ 7-Eleven คือสาขาที่กระจายอยู่ตามสถานที่ต่างๆ เรียกได้ว่าเดินไปทางไหนก็เจอ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการอย่างมากในเรื่องของความสะดวกในการเดินทาง แถมยังประหยัดเวลา รวมถึงค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงส่งถึงมือภายในวันเดียวอีกด้วย
ด้านผู้ให้บริการดั้งเดิมอย่าง “ไปรษณีย์ไทย” ที่เตรียมการปรับกลยุทธ์ธุรกิจของตนเองอย่างเต็มที่ โดยก่อนหน้านี้ได้ประกาศปรับลดค่าส่งพัสดุ (EMS) ลงโดยเริ่มต้นราคาที่ 5-515 บาท เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดขนส่งไทยต่อไป ไม่เพียงเท่านั้นยังเตรียมบริการใหม่ๆ ที่สอดรับกับกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ไม่ว่าจะเป็นบริการ Prompt Post เตรียมการฝากส่งล่วงหน้าได้จากที่บ้าน ไม่ต้องเสียเวลามารอคิว บริการเรียกเก็บเงินปลายทาง (COD) ซึ่งเป็นบริการเสริมควบคู่ไปกับการให้บริการ EMS

อีกทั้ง จากผลสำรวจล่าสุดของมหาวิทยาลัยหอการค้า ในเรื่องโลจิสติกส์ SMEs ไทย พบว่าผู้ให้บริการจัดส่งสินค้าที่ผู้ประกอบการนิยมมากที่สุด อันดับ 1 ยังคงเป็นไปรษณีย์ไทย ร้อยละ 20.37, อันดับ 2 Kerry ร้อยละ 20.06%, บริษัท ขนส่ง 16.76%, LINE MAN 12.78%, บริษัท รถโดยสารเอกชน 10.14%, การรถไฟแห่งประเทศไทย 8.71%, Grab 5.46%, LALAMOVE 2.55%, รถจักรยานยนต์รับจ้าง 1.46%, เครื่องบิน 0.95% และ บริษัทรถขนส่งเอกชน 0.76%

แม้ว่าไปรษณีย์ไทยยังคงเป็นอันดับหนึ่งที่ผู้ประกอบการไว้วางใจ แต่ตัวเลขก็ไม่ได้ห่างจาก Kerry สักเท่าไรนัก ดังนั้น เรามาดูคู่แข่งที่สำคัญอย่างอย่าง Kerry กันบ้างว่าพวกเขามีแผนการขยายตลาดอย่างไร เพื่อดึงกลุ่มลูกค้าให้มากยิ่งขึ้นกัน สำหรับ Kerry ประกาศทุ่มงบประมาณกว่า 1,800 ล้านบาท เพื่อเป้าหมายใน 4 เรื่องหลัก คือ 1) การจ้างพนักงานเพิ่ม 2) บริการส่งพัสดุขนาดเล็กแบบเร่งด่วนในพื้นที่สำคัญใจกลางเมือง เช่น รถไฟฟ้าบีทีเอส 3) ขยายสาขาให้มีความครอบคลุมทั่วประเทศ จากเดิม 1,500 สาขา ปรับเพิ่มเป็น 2,500 สาขา 4) เพิ่มขีดความสามารถของคลังสินค้าในย่านบางนา -ตราด ให้รองรับสินค้าได้มากขึ้น

สำหรับจุดเด่นของ Kerry อยู่ที่การมีพาหนะสำหรับขนส่งพัสดุมากกว่า 11,000 คัน พร้อมทั้งมีพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่เราคุ้นชื่อกันดี ไม่ว่าจะเป็น ออฟฟิศเมท, แฟมิลี่มาร์ท จึงทำให้ Kerry ยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ดีกว่าผู้ให้บริการภาคเอกชนทั่วไปๆ
จากที่กล่าว เป็นเพียง 3 ผู้ให้บริการซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของคนส่วนใหญ่ แต่ในตลาดโลจิสติกส์ยังมีผู้ให้บริการอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น SCG Express, DHL ที่พร้อมสอดแทรกเข้ามาเป็นผู้ท้าชิงส่วนแบ่งทางการตลาดเช่นกัน