“เอ-โกะ” 60 บาท พลิกมุมธุรกิจ ขายถูก 20 เปิดสมาชืก1,400 สาขา


++ “เอ-โกะ” (AEKO) สำหรับไอเดียเอาใจนักช็อปของถูก ของ “สุพจน์ เลาหพัฒนวงศ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอกดำรงค์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด จากประสบการณ์ 25 ปีที่ครอบครัวทำธุรกิจนำเข้าเครื่องใช้ในครัว ของใช้ในบ้านจากประเทศญี่ปุ่นมาขายในราคา 69 บาทที่ห้างไทยไดมารูเมื่อ 10 ปีที่แล้ว จนกระทั่งมีคู่แข่งขัน คือ มีร้านแบรนด์ดังจากประเทศญี่ปุ่นทุกอย่าง 60 บาท เข้ามาชิงตลาด ฉะนั้นจึงมองหาตลาดใหม่จนพบว่าช่องว่างของถูกสินค้าทุกอย่าง 20 บาท

++เมื่อได้ไอเดียธุรกิจ เจ้าของร้าน เอ-โกะ ก็กลับไปเช็กราคาสินค้าที่เคยรับจากประเทศญี่ปุ่น 20 กว่าโรงงาน ปรากฏว่าของต้นทุนถูกมีไม่มาก เลยหันมาซื้อของเพิ่มจากประเทศเกาหลี พวกเครื่องเขียน ของจุกจิกน่ารัก รวมถึงที่เมืองกว่างโจว ประเทศจีน เพราะเมืองนี้เป็นแหล่งผลิตสินค้าราคาถูก ผู้ค้าส่งสินค้าทั่วโลกต่างเดินทางมาหาซื้อของถูกกลับไปขายจากที่นี่ โดยราคาหน้าโรงงาน คิดเป็นเงินไทย เฉลี่ยชิ้นละ 8 บาท บวกค่าภาษี ค่าขนส่ง ต้นทุนต่อชิ้นอยู่ที่ 11 บาทกว่า มาขายส่งชิ้นละ 14 บาท รับรองว่าถูกกว่าท้องตลาดทั่วไปแน่ ส่วนลูกค้าที่ซื้อไปขายต่อจะได้กำไรชิ้นละ 5-6 บาท

 ++ ร้านเล็กลดความเสี่ยง ลงทุน 20,000 บาท

++ สำหรับรูปแบบการขยายธุรกิจ เจ้าของกิจการใช้วิธีดึงลูกค้าเข้ามาเป็นสมาชิก จูงใจด้วยราคาส่งที่ถูกลงอีก 1 บาท พร้อมมีบริการส่งฟรี ได้อุปกรณ์แต่งร้าน เช่น ป้ายร้าน ชุดยูนิฟอร์ม ที่สำคัญสมาชิกเอโกะสามารถเปลี่ยนสินค้าที่ขายไม่ดี เพื่อช่วยลดความเสี่ยงสต๊อกบวม เงื่อนไขผู้เป็นสมาชิก ต้องสั่งซื้อสินค้าครั้งแรก เป็นจำนวนเงิน 20, 000 บาทขึ้นไป จะได้ราคาส่งชิ้นละ 13 บาท และ 14-15 บาทสำหรับสินค้าลิขสิทธิ์

++สมาชิกซื้อสินค้า 20,000 บาท ในวงเงินนี้ จะได้สินค้าประมาณ 1,538 ชิ้น หรือ 6 ชั้นวาง คละสี แบบ และลวดลาย จะได้ประมาณ 350 กว่าแบบ ก็สามารถเปิดร้านเล็กๆ พื้นที่ 3×3 เมตร เปิดขายตามตลาดนัดได้ จับตลาดคนอยากลงทุนแต่ไม่มีทุนหมุนเวียน กำไรโดยเฉลี่ย 30% ต่อชิ้นการสั่งสินค้า 5,000 บาทขึ้นไป จะจัดส่งฟรีทั่วประเทศ ส่งของให้ได้ใน 1-2 วัน หลังโอนเงิน หากสินค้าตัวไหนขายไม่ดี สามารถเปลี่ยนได้ภายใน 30 วัน

++ คุณสุพจน์ กล่าวว่า ด้วยเงินลงทุนที่ไม่สูงมาก มีสินค้าหมุนเวียนในร้านประมาณ 3,000 รายการ แบ่งเป็นเครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องเขียน ของเล่น เครื่องมือช่าง อุปกรณ์เสริมความงาม ของกระจุกกระจิก ปัจจุบัน สมาชิกทั้งหมดของร้าน เอ-โกะ กระจายทั่วประเทศ 1,400 สาขา ส่วนรูปแบบร้าน คุณสุพจน์ บอกว่า ส่วนมากเป็นตึกแถวขนาด 1 คูหา จับตลาดคนอยากขายแต่ไม่ทุนสูงนัก ขายตามตลาดนัด รถกระบะเร่ แม้กระทั่งปูผ้าขายริมฟุตบาท สั่งสินค้าเติม 2-3 ครั้งต่อเดือน ใช้ทุนหมุนเวียน 15,000-20,000 บาท

++ รับตัวแทนค้าส่ง เทคแคร์ค้าปลีกทั่วไทย

++ ตัวแทนจำหน่าย” ประจำจังหวัด เป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่เอ-โกะเปิดให้ผู้สนใจร่วมลงทุน 200,000 บาท จะได้รับสินค้าเต็มเงินลงทุน และได้รายชื่อลูกค้าที่เป็นสมาชิกเอ-โกะของแต่ละจังหวัด ซึ่งตัวแทนจำหน่ายจะเปิดเพียง 1 แห่งต่อ 1 จังหวัด จึงต้องเข้มงวดในเรื่องการคัดสรรผู้ร่วมทุน เน้นคนที่ “มีใจรักงานขายส่ง”

++ “ทำธุรกิจค้าส่งจะแตกต่างจากค้าปลีก เพราะการค้าส่งใช้การบริการต่อเนื่อง ผลกำไรน้อยกว่าค้าปลีก แต่ความเร็วในการหมุนเวียนสินค้าจะเยอะกว่า ต้องคอยโทรเช็คความต้องการลูกค้า ทำการตลาดเชิงรุก เซอร์วิสต้องดีมีบริการหลังการขาย การคัดเลือกจึงนานกว่า ทำเลต้องอยู่ริมถนนใหญ่ตาม อ.เมือง หรือศูนย์การคมนาคมของแต่ละจังหวัด มีพื้นที่สำหรับจอดรถด้วย ปัจจุบันเรามีศูนย์ตัวแทนจำหน่ายในจังหวัดเชียงใหม่ อุบลราชธานี สระแก้ว ชัยภูมิ รอยเอ็ด ระยอง สุรินทร์ นครศรีธรรมราช สตูล และนครสวรรค์ ปีหน้าตั้งเป้าขยายศูนย์ค้าส่งเพิ่มเป็น 20 จังหวัด และเพิ่มจำนวนสมาชิกร้านค้าปลีกเป็น 2,000 สาขาทั่วประเทศ”

++ “ทำเล-จัดหน้าร้าน กุญแจความสำเร็จ

++ถามถึงกุญแจแห่งความสำเร็จของร้านทุกอย่างราเดียว คุณสุพจน์กล่าวว่า อันดับหนึ่งคือ “ทำเล” ถ้าเป็นร้านค้าปลีกต้องเลือกทำเลหมือนร้านสะดวกซื้อ ต้องอยู่หน้าปากซอย “เปิดร้านเพื่อดักคนเดิน” ในสถานที่ที่มีลูกค้าขาจรเยอะ เช่น ตลาดนัด ตลาดเทศบาล ตลาดสด สินค้าที่เลือกมาขายก็ต้องมีความหลากหลาย พฤติกรรมการเข้าร้านโดยเฉลี่ย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ และซื้อของ 3 ชิ้น 60 บาท/คน/ครั้ง ซึ่งทำเลมีผลต่อการเลือกสินค้ามาจำหน่ายในร้านด้วย เช่น ตลาดนัด ต้องเป็นสินค้าพวกเครื่องครัว ของใช้ในบ้าน แต่ถ้าทำเลอยู่หน้ามหาวิทยาลัย สินค้าควรเน้นหนักไปที่อุปกรณ์เครื่องเขียน อุปกรณ์ในสำนัก ส่วนสินค้าที่ขายดีทุกทำเลจะเป็นกลุ่มกิ๊ฟช็อป

++”การจัดเรียงสินค้า” ก็สำคัญร้าน เอ-โกะ จัดร้านแบบสินค้าต้อง “เยอะๆ แน่นๆ” แต่ต้องสวยงาม ไม่ควรเอาของมากองรวมกัน รูปแบบการจัดวางหน้าร้านขายสินค้าเทศกาล เช่น เทศกาลปีใหม่ วาเลนไทน์ สงกรานต์ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาในร้าน ตรงกลางร้านวางขายสินค้าลิขสิทธิ์ มีการเคลื่อนย้ายมุมสินค้า เอาของข้างนอกไปไว้ด้านใน เอาของมุมซ้ายย้ายไปมุมขวา ทุกๆ ครึ่งเดือน เพื่อสร้างความแปลกให้กับลูกค้า

++เรื่องของการ “บริการลูกค้า” เราจะมีกฎว่า ถ้าหากสมาชิกสาขาไหนมีการต่อว่าลูกค้า ทำให้ลูกค้าไม่พอใจ เราจะมีการขอป้ายคืน และตัดการเป็นสมาชิก จะไม่ได้สิทธิ์ส่วนลด สิทธิ์ในการเปลี่ยนสินค้า และค่าขนส่งฟรี เพราะเราต้องการให้สมาชิกรักษาชื่อเสียงของแบรนด์เราด้วย ซึ่งไม่ว่าจะมีหรือไม่มีแบรนด์การบริหารร้านให้ประสบความสำเร็จจะต้องมี 3 อย่างนี้

/////////////////////////////////////////

คุณสุพจน์ เลาหพัฒนวงศ์

บริษัท เอกดำรงค์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด

โทร.0-2433-6758 – 9