การเมืองวุ่นส่งผลให้ SMEs ขาดสภาพคล่อง ยอดGDP อาจไม่ถึง 2 %


ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยคาดหากปัญหาการเมืองยืดเยื้ออาจส่งผลให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำกว่า 2 เปอร์เซ็นต์  SMEsรายเล็กจะได้รับผลกระทบมากที่สุด จะเกิดปัญหาขาดสภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้

 

รศ.ดร. เสาวณีย์  ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยกล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองได้เริ่มส่งผลกระทบรุนแรงและมากขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 จนถึงต้นปี 2557 โดย SMEs รายเล็กและรายกลางได้รับผลกระทบมากกว่ารายใหญ่

 

ปัจจัยที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดได้แก่ยอดขายได้ลดลงเปรียบเทียบจากช่วงเดียวกันถึง 12.91 เปอร์เซ็นต์ มียอดคำสั่งซื้อที่ลดลงถึง 8.21 เปอร์เซ็นต์  สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อกำไรที่ลดลงกว่า 12 เปอฺร์เซ็นต์ และเป็นปัญหาสภาพคล่องตามมา

 

รศ.ดร.เสาวณีย์  กล่าวว่า “ปัญหาสภาพคล่องเป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่สำคัญอย่างยิ่งในขณะนี้ หาก SMEs ไม่สามารถประคองให้ผ่านไปได้ อาจถึงขั้นปิดกิจการได้ ซึ่งรายเล็กจะมีแรงเสียดทานต่อปัญหาดังกล่าวได้น้อยกว่ารายใหญ่คือสามารถอดทนได้เพียง 4.3 เดือน ส่วน ภาคที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดได้แก่ภาคเกษตรกรรม มีขีดความสามารถในการประคองธุรกิจได้ไม่เกิน 4.4 เดือน ส่วนรายใหญ่และภาคอุตสาหกรรมมีขีดความสามารถในการประคองธุรกิจได้เท่ากันคือ 5.1 เดือน ”

 

นาย วชิร คูณทวีเทพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยกล่าวว่า แม้ว่าจะมีปัจจัยลบเกิดขึ้นกับ SMEs หลายประการตั้งแต่ปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง ต้นทุนทางธุรกิจที่มากขึ้น มียอดขายที่ลดลง แต่สถานการณ์ด้านสุขภาพของ SMEs ในไตรมาส 4 ของปี 2556 จะดีกว่าไตรมาส 3 โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.1 เปอร์เซ็นต์  ทั้งนี้เนื่องจาก SMEs ได้หันมาจัดการกับสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ออกไป พัฒนาคุณภาพของสินค้าและบริการ และมีการปรับราคาสินค้าให้เพิ่มสูงขึ้น

 

ผศ.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยกล่าวว่า หากสถานการณ์ทางการเมืองยังเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกคาดว่าจะส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งจากเดิมได้ตั้งไว้ที่ 3 เปอร์เซ็นต์ก็อาจจะลดลงเหลือต่ำกว่า 2 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้เมื่อไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

 

“สถานการณ์คลี่คลายของผมหมายถึงการเมืองนิ่ง มีรัฐบาลที่ชัดเจน เพื่อสามารถสั่งจ่ายงบประมาณต่างๆ ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะหากเป็นเช่นนี้อยู่ มูลค่าเม็ดเงินทางเศรษฐกิจจะสูญหายไปไม่น้อยกว่า 1.5-2 แสนล้านบาท” ผศ.ธนวรรธน์กล่าว