ทั่วโลกชะงักชะลอนำเข้า คาดส่งออกไทยปี 62 เป้า 8% ต้องลุยงานหนัก หลังปีที่แล้วพลาดเป้า สนค.ชี้ต้องเร่งเจรจา RCEP เพื่อเพิ่มแต้มต่อด้านภาษีให้สินค้าไทย
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในเดือน ธ.ค.2562 มีมูลค่า 19,381.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 1.72% เป็นการส่งออกลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 18,316.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 8.15% และเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบปี 2561 แต่ยังเกินดุลการค้ามูลค่า 1,064.9 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนการส่งออกทั้งปี 2561 มีมูลค่า 252,486.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 6.7% ขยายตัวต่ำกว่าเป้าหมายการส่งออกที่ตั้งไว้ที่ 8% แต่ก็ถือว่าทำได้ดี เมื่อเทียบกับภาวะเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ ที่มีปัญหาทั้งเศรษฐกิจคู่ค้าและปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
น.ส.พิมพ์ชนกกล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้การส่งออกเดือน ธ.ค. ติดลบ มาจากการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรลดลง 6.6% สินค้าที่ลดลง เช่น ข้าว ลด 5.5% ยางพารา ลด 32.3% มันสำปะหลัง ลด 22.8% อาหาร ลด 3.3% กุ้งสดแช่แข็งและกุ้งแปรรูป ลด 13.2% และสินค้าอุตสาหกรรมกลับมาติดลบ 0.8% สินค้าที่ลดลง เช่น รถยนต์นั่ง ลด 0.9% รกจักรยานยนต์และส่วนประกอบ ลด 4.4% เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ลด 13.5% เครื่องใช้ไฟฟ้า ลด 1.7%”
นอกจากนี้ ยังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ทำให้มูลค่าหายไป 239.8 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นผลกระทบทางตรงจากการที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษี ทำให้ส่งออกได้มูลค่า 47.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 48.5% หรือมูลค่าหายไป 44.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ได้แก่ โซลาร์เซลส์ ลด 88.2% เครื่องซักผ้า ลด 28.8% เหล็ก ลด 43.8% แต่อะลูมิเนียม เพิ่ม 156% ผลกระทบจากการเป็นห่วงโซ่ให้กับจีน และสินค้าของจีนถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษี มีมูลค่าส่งออก 2,280 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 8.3% มูลค่าหายไป 207.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ได้แก่ ยานพาหนะและส่วนประกอบ ลด 48.9% ของใช้ในบ้านและออฟฟิศ ลด 27.4%
ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์และแผงวงจรไฟฟ้า ลด 32.3% เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ ลด 9.7% แต่อาหารปรุงแต่งและเครื่องดื่ม เพิ่ม 82.3% เคมีภัณฑ์และเม็ดพลาสติก เพิ่ม 13.3% และกลุ่มสินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ทดแทนสินค้าจีนที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษี โดยส่งออกไปสหรัฐฯ มีมูลค่า 1,689 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.7% หรือมีมูลค่าส่งออกเพิ่ม 12 ล้านเหรียญสหรัฐ เช่น เหล็ก เพิ่ม 63.6% เคมีภัณฑ์และเม็ดพลาสติก เพิ่ม 29.1%
สำหรับผลกระทบจากสงครามการค้าทั้งปี 2561 พบว่า มูลค่าหายไป 382.1 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็น ผลกระทบจากมาตรการทางตรงสหรัฐฯ ลดลง 41.6% มูลค่าการส่งออกหาย 421.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ผลกระทบจากห่วงโซ่อุปทานจีน ลดลง 5.8% มูลค่าส่งออกหายไป 438.6 ล้านเหรียญสหรัฐ และผลกระทบเชิงบวกจากการส่งออกทดแทนสินค้าจีนไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 9.6% มูลค่าเพิ่ม 478 ล้านเหรียญสหรัฐ
“สำหรับการส่งออกในปี 2562 ที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าหมายการส่งออกเติบโตไว้ที่ 8% ซึ่งจะต้องส่งออกให้ได้เฉลี่ยต่อเดือนอย่างน้อยเดือนละ 2.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไป ถือเป็นงานที่ท้าทาย โดยเฉพาะเรื่องของสงครามการค้าที่ยังต้องติดตามกันต่อว่าสหรัฐฯ และจีนจะยุติปัญหาระหว่างกันได้ลุล่วงได้หรือไม่ ” น.ส.พิมพ์ชนก กล่าว
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จะต้องเร่งหาตลาดส่งออกใหม่ เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยเฉพาะสินค้าที่ไทยเป็นห่วงโซ่การผลิตของจีน ทั้งกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ แผงวงจรไฟฟ้า และต้องเร่งดึงดูดการลงทุนในระเบียบเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยเฉพาะการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มมูลค่าส่งออก และต้องเร่งเจรจาผลักดันความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ให้สำเร็จโดยเร็ว รวมถึงการเจรจาทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับคู่ค้าใหม่ๆ เพื่อลดภาษี และสร้างแต้มต่อในการส่งออก