ทุกๆ ครั้งที่กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs เกิดวิกฤตทางการเงินอันสืบเนื่องมาจากพิษเศรษฐกิจบ้าง วิกฤตการเมืองบ้าง หรือปัญหาด้านอื่นๆ จากเหตุการณ์ดังกล่าวก็มิได้ทำให้สถาบันการเงินต่างๆ นิ่งเฉย ต่างเร่งเข้ามาเยียวยาช่วยเหลือ SMEs ไทยทุกรูปแบบ ทั้งด้านการเงิน การให้ความรู้ในการปรับตัวสู้กับปัญหา และตลอดมา “ธนาคารกสิกรไทย” ก็เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถาบันการเงินที่อยู่เคียงข้าง SMEs ไทยเสมอมา ได้เข้ามาช่วยแก้วิกฤตการเงินให้กับ SMEs ด้วยการนำเสนอมาตรการความช่วยเหลือที่ตรงจุด มุ่งแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้จริง
“แหล่งทุน” ฉบับนี้ เปิดวิสัยทัศน์และนโยบายความช่วยเหลือจาก คุณพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กับมาตรการความช่วยเหลือSMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการเมืองที่ยืดเยื้อ ส่งผลกระทบให้ SMEs รายได้ลด ขาดสภาพคล่อง มาตรการล่าสุดนี้หวังช่วยลูกค้าเพิ่มสภาพคล่องและฟื้นตัวจากวิกฤตการเมืองและเศรษฐกิจโดยตรง และพูดถึงโครงการช่วยผู้ประกอบการร้านค้าปลีกจากโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์
คุณพัชร กล่าวว่า จากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปลายที่ปีแล้ว ได้ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างกว้างขวาง ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจติดลบ การลงทุนชะลอตัว ความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายของประชาชนลดลง ทำให้ SMEs มีรายได้ลดลงกว่า 40% หลายรายมีความเสี่ยงที่จะขาดสภาพคล่อง เนื่องจากไม่มีกระแสเงินทุนหมุนเวียนที่เพียงพอ ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารได้ให้คำปรึกษาและพิจารณาช่วยเหลือแก่ SMEs ที่ได้รับผลกระทบตามความจำเป็นของแต่ละราย ล่าสุดได้ผุดมาตรการและทิศทางความช่วยเหลือ SMEs ใน 3 สาขาธุรกิจ
๏ เร่งช่วยเหลือ “เกษตร – ท่องเที่ยว – ค้าปลีก”
จากปัญหาที่ยืดเยื้อเป็นเวลานาน ทำให้ SMEs 3 กลุ่มนี้ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว กลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มธุรกิจจำหน่ายสินค้าหรือบริการสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ได้รับผลกระทบที่ค่อนข้างรุนแรงเป็นวงกว้าง เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศลดลงเพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย การลงทุนของภาครัฐและเอกชนชะลอตัวลง อีกทั้งชาวนาได้รับเงินจากการขายข้าวล่าช้ากว่ากำหนด
ปัจจุบันธนาคารมีฐานลูกค้า SMEs ใน 3 กลุ่มดังกล่าวประมาณ 19,000 ราย จากฐานลูกค้า SMEs และไมโคร SMEs ที่มีอยู่ 1.5 แสนราย ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือทางการเงินเร่งด่วน เพราะเป็นกลุ่มที่มีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายเทียบกับภาระหนี้ที่มีกับธนาคาร อยู่ในสัดส่วนที่สูงและใช้วงเงิน OD เกือบเต็ม ประมาณ 15,000 ราย
โดยปีที่ผ่านมากลุ่มลูกค้าจำนวน 15,000 รายเป็นจำนวนกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้หลักจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว จะเหลือเงินประมาณ 82,000 บาท แต่เมื่อหลังจากได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจรายได้ลดลงเหลือเพียง 50,000 บาท ซึ่งถือว่าได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง คิดเป็นมูลหนี้ประมาณ 4.3 หมื่นล้านบาท แต่เป็นกลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้เป็นหนี้เสีย
ลูกค้าทั้ง 3 กลุ่มนี้ ส่วนใหญ่จะเป็น SMEs รายเล็กสภาพคล่องน้อย จึงใช้วงเงิน OD เกือบเต็มวงเงิน หรือมีวงเงิน OD รวมราว 2.7 ล้านบาท ซึ่งยอมรับว่ากลุ่มนี้อัตราดอกเบี้ยจะค่อนข้างแพง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าของแบงก์มานาน แต่กลุ่มนี้ไม่ได้เป็นกลุ่มที่เป็นเอ็นพีแอล และหนี้เสียก็ยังอยู่ในระดับเดิมที่ 2.68% ซึ่งก่อนหน้านี้ธนาคารมีมาตรการพักหนี้ให้ไปแล้ว 400 กว่าราย แต่เป็นลูกค้ารายใหญ่คิดเป็นวงเงิน 10,000 ล้านบาท แต่ครั้งนี้ได้ทำการเลือกกลุ่มอุตสาหกรรมเล็กที่มีวงเงินต่อราย 2.7 ล้านบาท และไม่ได้มีแนวโน้มเป็นเอ็นพีแอล แต่มีการกู้มากมายและจ่ายดอกเบี้ยให้แบงก์สูง
๏ ลดดอกเบี้ยวงเงินกู้ OD 3% เดือน
สำหรับมาตรการความช่วยเหลือพิเศษแก่ SMEs ทั้ง 3 กลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน โดยประการแรก ช่วยลดดอกเบี้ยวงเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี (OD) ทุกรายทันที 3% เป็นระยะเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่ 1 มิถุนายน – 31 สิงหาคมนี้ โดยคาดว่าจะกระทบกับรายได้ดอกเบี้ยประมาณ 100 ล้านบาท แต่ธนาคารจะหันไปลดค่าใช้จ่ายในด้านอื่นๆ ของธนาคารทดแทนเพื่อไม่ให้กระทบกับกำไรของผู้ถือหุ้น
ประการที่ 2 พักชำระหนี้เงินต้นเป็นเวลา 6 เดือน ให้กับลูกค้าในกลุ่มนี้ จะทำให้ลูกค้าใน 3 กลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนมีเงินเพิ่มขึ้นต่อเดือนราว 55% จากภาระหนี้ของธนาคารที่ลดลง ซึ่งลูกค้าสามารถนำเงินจำนวนดังกล่าวไปหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่อง
ให้ธุรกิจได้มากขึ้น
๏ ปล่อยกู้เพิ่ม 75,000 ล้านบาท
ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่มีการชะลอตัว ธนาคารจึงได้เตรียมวงเงินกู้อีก 75,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 25% ในช่วง 3 เดือนจากนี้ (มิ.ย. – ส.ค.) จากเดิมที่แต่ละไตรมาสจะสามารถปล่อยกู้ได้ประมาณ 60,000 ล้านบาท โดยเม็ดเงินกู้ปล่อยใหม่ดังกล่าวจะเร่งปล่อยภายในระยะ 3 เดือนข้างหน้านับจากนี้ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเพื่อปล่อยกู้ใหม่ให้ SMEs กลุ่มอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบและต้องการเงินลงทุนหรือวงเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ โดยวงเงินดังกล่าวคาดว่าจะมาจากการปล่อยกู้ให้ลูกค้าเดิม 80% และลูกค้ารีไฟแนนซ์ 20% และทางธนาคารจะเตรียมวงเงินเพื่อเสริมสภาพคล่องภายในระบบธนาคารจะเพิ่มขึ้น 25%
ทางธนาคารมีความเชื่อว่าผู้ประกอบการที่ได้รับสินเชื่อในวงเงินก้อนใหม่นี้ จะสามารถนำไปซื้อสินค้าเพื่อมาทำเป็นสต็อกได้ตามเดิมได้ และในระยะไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 ถ้าหากมีคำร้องขอกู้สินเชื่อที่มากขึ้น อาจจะมีการปรับตัวเลขของเงินปล่อยกู้เพิ่มมากขึ้นเพราะเป็นช่วงสิ้นปี ที่มีการจับจ่ายคึกคัก
๏ หนุนเม็ดเงินแหล่งช้อปเอเชียทีค 100 ล้าน
ปัจจุบันการทำธุรกิจ Shopping &Travel Destination ได้รับความนิยมอย่างมาก เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของสถานที่ที่อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีการออกแบบให้มีบรรยากาศย้อนยุคแบบโคโรเนียล มีกระบวนการคัดเลือกร้านค้าเพื่อเข้ามาเปิดในโครงการ จึงทำให้กลายเป็นแหล่งรวมร้านค้าที่มีศักยภาพ เพราะความหลากหลายและความน่าสนใจของสินค้ามีความสำคัญต่อการท่องเที่ยวของผู้บริโภค
ความร่วมมือครั้งนี้นอกจากช่วยเรื่องสภาพคล่องแล้ว อีกส่วนหนึ่งคือ ต้องการให้ผู้เช่าให้ความสำคัญเรื่องการเดินบัญชี ซึ่งจะส่งผลดีเมื่อผู้เช่าร้านค้าต้องการขยายกิจการก็จะสามารถขอสินเชื่อในระบบได้ง่ายขึ้น โครงการนี้ ธนาคารตั้งเป้ามีผู้เช่าร้านค้าในโครงการ
เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เข้าร่วมโครงการ จำนวน 300 ราย วงเงินสินเชื่อ 100 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้
สำหรับสินเชื่อพิเศษให้ผู้เช่าร้านค้าในเอเชียทีค เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นการบริโภค สนับสนุนทางการเงินเพื่อผู้เช่าร้านค้าในโครงการเอเชียทีค นำไปเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจและเป็นเงินทุนหมุนเวียน ประกอบด้วย สินเชื่อเพื่อธุรกิจเริ่มต้น บริการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ สินเชื่อไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน สำหรับเอสเอ็มอี ที่มีข้อจำกัดในการหาหลักทรัพย์มาค้ำประกันสินเชื่อ แต่ต้องการเงินทุนในการประกอบธุรกิจ ขยายกิจการ หรือเพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจสินเชื่อ SMEs กู้ง่ายหมดกังวลเรื่องเดินบัญชี บริการสำหรับผู้ประกอบการที่ไม่มีหลักฐานการเดินบัญชี หรือมีการเดินบัญชีแต่ไม่มีความสม่ำเสมอ
นอกจากบริการสินเชื่อดังกล่าว ธนาคารยังมีบริการทางการเงินที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกในการรับจ่ายเงินของผู้เช่าร้านค้า เพื่อให้ผู้เช่าร้านค้ามีเวลาในการบริหารร้านได้อย่างเต็มที่ ได้แก่ บริการชำระเงินผ่านการหักบัญชีอัตโนมัติกสิกรไทย เพื่อหักชำระค่าเช่าและค่าใช้จ่ายต่างๆ กับฟรีค่าธรรมเนียม 3 เดือน บริการร้านค้ารับบัตรเครดิตผ่าน K-PowerP@y (mPOS) ใช้ได้กับสมาร์ทโฟน/แท็บเล็ต ทั้งระบบ iOS และ Android ซึ่งจะทำให้การรับชำระเงินจากลูกค้าสะดวกได้ทุกที่ทุกเวลา และมั่นใจด้วย SMS หรือ e-mail ที่ยืนยันทุกการใช้จ่าย พร้อมโปรโมชั่นจากบัตรเครดิตกสิกรไทย เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้าในเอเชียทีค ด้วยการออกโปรโมชั่นพิเศษ “อิ่มอร่อย 2 ต่อ รับโชคมากกว่า” ให้กับเอเชียทีคโดยเฉพาะ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้สนใจเข้ามาใช้บริการภายในโครงการมากขึ้น
๏ สถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวม
จากมาตรการดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นความช่วยเหลือที่ตรงจุดที่สุดและรุกเข้าช่วยเหลือทันที ไม่ต้องรอแคมเปญ ต้องการเห็นกลุ่มธุรกิจ SMEs มีสภาพคล่องที่ฟื้นตัวอย่างเร็วขึ้น ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ต่างระมัดระวังการให้สินเชื่อการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการดังกล่าว จะช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจด้วย โดยจะเป็นการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าเก่าเป็นหลัก แต่หากความต้องการไม่ถึงก็อาจจะปล่อยให้กับลูกค้าใหม่ที่ย้ายเข้ามาด้วย
ปัจจุบันพอร์ตสินเชื่อ SMEs ของธนาคารมีอยู่ 5.29 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากสิ้นปีก่อน ส่วนเป้าหมายสินเชื่อในปีนี้ที่ตั้งไว้ 6 – 8% ยังเชื่อว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ มาตรการช่วยเหลือในครั้งนี้ ธนาคารเชื่อว่าจะช่วยเหลือ SMEs ได้โดยไม่กระทบกับกำไรของผู้ถือหุ้น เพราะธนาคารจะบริหารจัดการด้วยการลดค่าใช้จ่ายในด้านอื่นๆ ของธนาคารทดแทน
ธนาคาร เตรียมทบทวนจีดีพีที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 1.8% ในเร็วๆ นี้ เมื่อมาตรการของรัฐมีความชัดเจน โดยล่าสุดเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณที่ดีขึ้น เพราะหลังจาก คสช. เข้าควบคุมอำนาจส่งผลให้การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคและนักลงทุนมีความเชื่อมั่น ขณะเดียวกันสถาบันจัดเครดิตต่างชาติก็ยังคงเครดิตประเทศไทย และที่สำคัญงบประมาณปี 2558 ที่สามารถเดินหน้าได้อีกครั้ง ทำให้ความจำเป็นของนโยบายการเงินมีน้อยลง โดยมองว่ามีโอกาสที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.จะยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2% ไปถึงสิ้นปี 2557 นี้