น้ำมันดิบลด คาดหนุนอาเซียนเติบโต


ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงอย่างหนักในช่วงครึ่งของปี 2557 มีแนวโน้มส่งผลดีต่ออาเซียน โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นี่ร้อยละ 4.7-5.8 เนื่องจากมีแรงหนุนเสริมจากประเด็นราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง

                นับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2557 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกได้เผชิญกับภาวะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว โดยลดลงถึงร้อยละ 48 จากราคาที่สูงกว่า 105 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลในเดือนก.ค. 2557 เหลือเพียง 54.2 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลในวันที่ 31 ธ.ค. 2557 ทั้งนี้ การลดลงของราคาน้ำมันนับเป็นผลดีต่อประเทศผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิ ซึ่งรวมถึงกลุ่มประเทศอาเซียนด้วย โดยมีปัจจัยหนุนดังต่อไปนี้

  • มูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบที่ลดลงส่งผลบวกต่อดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account) ของประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียน

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ประเทศไทยจะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดราวร้อยละ 2 ของ GDP ในปี 2558 นอกจากนี้ การลดลงของราคาน้ำมันย่อมส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจของประเทศจีน สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิรายใหญ่ รวมถึงยังเป็นตลาดส่งออกและตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สำคัญของอาเซียน ดังนั้น การส่งออกและการท่องเที่ยวของอาเซียนโดยรวมคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น แต่ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันสุทธิในอาเซียนซึ่งได้แก่ มาเลเซีย และบรูไนอาจประสบความท้าทายจากรายได้จากการส่งออกน้ำมันที่ลดลง อย่างไรก็ดี มาเลเซียมีฐานะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสะสมต่อเนื่อง อันส่งผลให้ฐานะการเงินของประเทศยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นกังวล

  • ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงน่าจะส่งผลให้มีการบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้น

เนื่องจากครัวเรือนมีภาระค่าใช้จ่ายน้อยลง รวมทั้งต้นทุนของภาคธุรกิจในการผลิตและการขนส่งมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ซึ่งจะช่วยชะลอการปรับราคาสินค้าในตลาดได้ และช่วยให้ในระยะนี้สถานการณ์เงินเฟ้อของอาเซียนอยู่ในภาวะผ่อนคลายมากขึ้น

  • สภาวะเงินเฟ้อมีแนวโน้มผ่อนคลายลงตามระดับราคาน้ำมันในตลาดโลก

ทั้งนี้จะทำให้ธนาคารกลางของแต่ละประเทศในอาเซียนมีพื้นที่สำหรับการผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ยกตัวอย่างเช่น อินโดนีเซียที่น่าจะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะนี้ หลังจากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนับจากรัฐบาลประกาศลดการอุดหนุนราคาน้ำมันในประเทศ รวมไปถึงฟิลิปปินส์ที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4 ภายหลังอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงมาจากร้อยละ 4.3 ในเดือนต.ค. 2557 เป็นร้อยละ 3.7 ในเดือนพ.ย. 2557 ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดในรอบปี 2557 นับเป็นการลดความกังวลของธนาคารกลางฟิลิปปินส์ในการจัดการกับปัญหาเงินเฟ้อ

  • สถานะดุลการคลังของประเทศในอาเซียนมีโอกาสปรับตัวดีขึ้น

 เนื่องจากเป็นจังหวะให้ภาครัฐสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายผ่านการลดการอุดหนุนราคาน้ำมัน โดยไม่กระทบต้นทุนของภาคธุรกิจและค่าใช้จ่ายประชาชน และสามารถนำงบประมาณภาครัฐไปใช้จ่ายกับโครงการเพื่อการพัฒนาประเทศได้มากขึ้น เห็นได้จากว่ามาเลเซีย และอินโดนีเซียเริ่มมีการปรับลดการอุดหนุนราคาน้ำมัน และไทยเริ่มมีการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันโดยการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 

ทั้งนี้การที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงก็มีผลลบทางอ้อมต่อเศรษฐกิจอาเซียนเช่นกัน โดยผ่านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนและประเทศผู้ส่งออกพลังงานสุทธิรายใหญ่อย่างรัสเซีย และกลุ่มประเทศสมาชิกโอเปก ซึ่งผลจากการร่วงอย่างหนักของราคาน้ำมัน ทำให้ค่าเงินรูเบิลของรัสเซียอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงิน และภาระหนี้ต่างประเทศของรัสเซียเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อตราสารทางการเงินในประเทศตลาดเกิดใหม่ และอาจนำไปสู่ปัญหาด้านเสถียรภาพของค่าเงินในตลาดเกิดใหม่อื่นๆ เช่น อินเดีย และอินโดนีเซีย เป็นต้น 

นอกจากนี้ เมื่อรัสเซียและกลุ่มสมาชิกโอเปกประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ ก็มีโอกาสที่จะส่งผลกระทบต่อเนื่องมาถึงการส่งออกของอาเซียน แต่ผลกระทบอาจอยู่ในขอบเขตจำกัด เนื่องจากสัดส่วนการส่งออกของอาเซียนไปยังรัสเซียและกลุ่มสมาชิกโอเปคยังมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับการส่งออกทั้งหมด อีกทั้งยังอาจกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยว และรายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศในอาเซียนอีกด้วย

หากพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ข้างต้น ทั้งปัจจัยบวกและลบที่มีต่อเศรษฐกิจในแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ผลสุทธิจากการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบ กอปรกับภาพการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอาเซียน เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติยังมองอาเซียนเป็นเป้าหมายการลงทุนที่น่าสนใจ น่าจะทำให้เศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 สามารถขยายตัวได้ในอัตราเร่งขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2557 ที่ร้อยละ 4.7-5.8 หลากหลายประเด็นที่น่าจับตาในปี 2558 จากความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกผันผวน และประเด็นด้านราคาน้ำมันแล้ว ในปี 2558 เศรษฐกิจอาเซียนยังมีประเด็นท้าทายที่ต้องจับตาจากความเปราะบางของเศรษฐกิจโลก โดยเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่สำคัญอื่นๆของอาเซียนอย่างจีน อียู รวมถึงญี่ปุ่น ต่างยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เร็วตามที่คาด นับเป็นความเสี่ยงหนึ่งของภาคส่งออกอาเซียน และแม้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจอาเซียนจากราคาน้ำมันที่ลดลงผ่านความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศผู้ส่งออกน้ำมันสุทธิจะอยู่ในขอบเขตจำกัด แต่ในปี 2558 ยังคงต้องจับตาผลกระทบที่เชื่อมโยงจากประเทศรัสเซีย และตลาดเกิดใหม่อื่นๆที่เศรษฐกิจมีความเปราะบางอยู่แล้ว ไปสู่ประเทศอื่นๆซึ่งเป็นคู่ค้าที่สำคัญของอาเซียน อาทิ อียู และจีน รวมถึงความเสี่ยงที่เกิดจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกน่าจะมีแนวโน้มลดลงตามราคาน้ำมันดิบ

ในขณะที่ แนวโน้มการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของสหรัฐฯ อาจทำให้เกิดการไหลกลับของเงินทุนต่างชาติอย่างรวดเร็ว และส่งผลกระทบต่อค่าเงินในประเทศของชาติสมาชิกอาเซียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะประเทศที่นักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนการถือครองพันธบัตรรัฐบาลในประเทศสูงอย่างมาเลเซียและอินโดนีเซีย ทั้งนี้สำหรับกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) เวียดนามยังคงมีปัญหาต่อเนื่องในเรื่องปัญหาหนี้เสีย (NPLs) รวมถึงการปฏิรูปโครงสร้างรัฐวิสาหกิจ และภาคธนาคารที่อยู่ในช่วงการดำเนินการแก้ไข ขณะที่กัมพูชา สปป.ลาว และเมียนมาร์นั้น การพัฒนาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค การปฏิรูประบบ และโครงสร้างสถาบันต่างๆ ยังคงเป็นความท้าทายที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการอีกมากเพื่อมุ่งสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน