สุดยอดโฆษณา Super Bowl ที่แจ้งเกิดบนโลกออนไลน์


คุณสุธีรพันธุ์ สักรวัตร หรือ อาจารย์ตูน ที่ปรึกษาอิสระด้าน Brand Communication Digital Marketing ได้พูดถึงประเด็นทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์ ที่เป็นที่พูดถึงตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา กับความยิ่งใหญ่ของสุดยอดโฆษณาในศึก Super Bowl ที่กลับมาแจ้งเกิดบนโลกออนไลน์ ผ่านรายการข่าวค่ำทันโลก (5 ก.พ.) ในช่วง SME Signal ว่า เกมครั้งสำคัญนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 49 แล้ว ซึ่งถือเป็นการแข่งขันกีฬาอเมริกันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกและมีผู้ชมเยอะที่สุดในโลก  ในทุกๆ ปี โฆษณาที่อยู่ในช่วงพักครึ่งถือว่ามีมูลค่าสูงมาก  แบรนด์ที่จะมีกำลังซื้อโฆษณาในช่วงดังกล่าวได้ ต้องเป็นแบรนด์ระดับใหญ่ระดับโลก  แต่อย่างไรก็ตาม ประเด็นหลักไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้เงินซื้อหรือการทุ่มทุนสร้างเพียงอย่างเดียว ช่วงหลังๆ เราจะเห็นเทรนด์บางอย่างที่ได้รับอิทธิพลจากโฆษณาใน Super Bowl และหลังจากนั้นกระแสของโลกก็จะไปทิศทางนั้น

ที่เห็นชัดเจนมีหลายๆ แบรนด์ที่อาศัยโอกาสดังกล่าวโฆษณาสินค้าของตัวเอง แต่ว่าผลตอบรับกลับไม่ได้วัดที่เรทติ้งบนจอทีวี แต่เรากลับวัดกันที่อินเตอร์แอ็คชั่น (Interaction)  หรือปฏิสัมพันธ์ของลูกค้าที่เกิดขึ้นบนโลกโซเชียลมีเดีย  ซึ่งเมื่อก่อนหลายๆ คนจะนึกถึงสื่ออย่าง YouTube แต่ช่วงหลังๆ แบรนด์ เริ่มเห็นสัญญาณอะไรบางอย่างว่า วิดีโอที่มีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าดีที่สุด ไม่ได้โพสต์บน YouTube แต่กลับเป็นวิดีโอที่ถูกโพสต์บน Facebook แทน ซึ่ง 98% ของอินเตอร์แอ็คชั่น (Interaction)  ที่เกิดขึ้นบนโซเชียลมีเดียเกิดขึ้นบนเฟซบุ๊ค ส่วนบน YouTube มีเพียงแค่ 2% เท่านั้นเอง

สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น เกิดจากเหตุผลหลักๆ เลย คือ Facebook เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่างแท้จริง ที่มีเทคโนโลยีที่ให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ง่าย  เมื่อเราโพสต์วิดีโอบน Facebook ตัววิดีโอจะถูกเล่นอัตโนมัติ หรือ ออโต้เพลย์ (Autoplay) เมื่อเราเห็นบนนิวสฟีด (News Feed)  และนี่เองทำให้คนอยากติดตามชมต่อ เพราะฉะนั้นผู้ที่อยากผลิตคอนเท้นต์เป็นวีดีโอ ช่วง 2-3 วินาทีแรกสำคัญมาก เพราะว่าจะเป็นช่วงที่ Facebook เล่นวีดีโอนั้นให้เราเห็นก่อน  ถ้ามีคนสนใจ ก็จะคลิกเข้าไปดูต่อ ซึ่งสิ่งนี้ใน Youtube ทำไม่ได้ นอกจากนี้ สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนว่า “วิดีโอบน Facebook” ได้ผลกว่า “วีดีโอบน YouTube” ก็คือ สามารถแชร์ได้ง่ายกว่า มีการกดไลค์ คอมเม้นท์ ง่ายกว่า แม้ว่า YouTube จะมีเครื่องมือเหล่านี้เช่นกัน แต่คนไม่ค่อยคุ้นเคย ไม่ค่อยแชร์ ทำให้คอนเท้นต์บน Facebook มีประสิทธิภาพบนโซเชีลมีเดียมากกว่านั่นเอง หากผู้ประกอบการสนใจจะทำวิดีโอเพื่อโปรโมทสินค้าหรือสร้างแบรนด์ ก็แนะนำว่าให้โพสต์ลงบน Facebook โดยตรงเลย เพราะว่าจะได้ผลกว่า

สำหรับวิดีโอหรือโฆษณาที่ฉายในช่วงพักครึ่งของ Super bowl มีหลายเรื่อง แต่ 3 เรื่องที่ติดเป็น   ท็อป 3 บนโซเชียลมีเดีย มีดังนี้

อันดับ 3 เป็นของ บริษัทไมโครซอฟท์ (Microsoft) ที่มีการแชร์ประมาณ 4,100 ครั้ง

อันดับ 2 เป็นของ โคคาโคลา (Coca-Cola) มีการแชร์ประมาณ 4,700 ครั้ง

และ อันดับ 1 เป็นของฟาสต์ฟู้ดยี่ห้อดังอย่าง แมคโดนัลด์ (McDonald’s)ที่หลายคนคุ้นเคยดี มีการแชร์มากถึง 35,400 ครั้ง (ในระยะเวลา 2-3 วัน)

จากข้อสงสัยว่าทำไมโฆษณาของ แมคโดนัลด์ (McDonald’s) ที่ชื่อ McDonald’s Pay With Lovin’ จึงมีการแชร์มากมาย เมื่อเข้าไปดูเนื้อหา พบว่าเนื้อเรื่องจะไม่เหมือนโฆษณา แต่จะมีลักษณะเป็นแคนดิดวิดีโอ (Candid Videos) เรื่องราวจริงๆ เกี่ยวกับลูกค้าที่เข้าไปสั่งอาหารในร้านแมคโดนัลด์ แทนที่จะจ่ายเป็นเงิน แต่กลับกลายเป็นลูกค้าสามารถจ่ายเป็นการทำภารกิจต่างๆ แทน เช่น โทรหาคนที่คุณรัก เต้น การเข้าไปโอบกอด เข้าไปหาคนที่คุณรัก  เป็นต้น ซึ่งหนังโฆษณามีความยาว 1 นาที  เชี่อว่าในปีนี้ เทรนด์ลักษณะวิดีโอแบบนี้จะมาแรง เป็นหนังโฆษณาที่เหมือนเป็นเรื่องจริง (Real Life Story) ของลูกค้าในมุมมองแง่บวก

ผู้ประกอบการ หรือ เอสเอ็มอีที่กำลังสนใจในการทำคอนเท้นต์พวกวิดีโอ ลองหยิบเอาแนวคิดของการใช้งานสินค้าของลูกค้าของคุณมาทำเป็นวีดีโอก็ได้ ด้วยเรื่องราวแง่บวก ทำให้เป็นเสมือนเรื่องจริง แล้วโพสต์ลงบน Facebook ก็อาจจะเป็นเคล็ดลับหนึ่งในการทำ Video Marketing ได้