เจ้าแม่แห่งแสงสว่าง รัฐวิไล รังษีสิงห์พิพัฒน์


ในอุตสาหกรรมอุปกรณ์แสงสว่าง ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก “รัฐวิไล รังษีสิงห์พิพัฒน์” ทายาทธุรกิจ “เรเซอร์” ผู้ผลิตบัลลาสต์ที่มีกำลังการผลิตใหญ่ที่สุดในประเทศ และนายหญิงแห่ง “ลี้กิจเจริญแสง” ผู้ผลิตหลอดไฟนีออนและสตาร์ทเตอร์รายใหญ่ของประเทศ และจัดจำหน่ายอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน แบรนด์เลคิเซ่ (LeKise) เธอมี 11 บริษัทในเครือธุรกิจ “เรือล่มในหนอง” ที่ต้องบริหารในฐานะ “กรรมการผู้จัดการ” และดูแลพนักงานรวม 2,300 คน

 

รัฐวิไลจบการศึกษาระดับปริญญาตรีและโท ด้านบัญชีจาก RMIT ประเทศออสเตรเลีย จบปริญญาเอกจาก OSLU สหรัฐอเมริกา และกำลังศึกษาต่อปริญญาเอก สาขาเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เธอเข้ามาบริหารเลคิเซ่ กรุ๊ป ในช่วงรอยต่อของทายาทรุ่น 2 ธุรกิจกว่า 47 ปี เริ่มจากการนำเข้าเครื่องจักรจากประเทศญี่ปุ่นเพื่อมาผลิตหลอดไส้ในปี 2511 ในฐานะผู้รับจ้างผลิต (OEM)

 

เธอและสามี (สมนึก โอวรุฒธรรม) ช่วยกันขยายธุรกิจโดยร่วมมือกับ HITACHI (JAPAN) แลกเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิต โดยรับเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายแบรนด์ ฮิตาชิ แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย พร้อมขยายไลน์ผลิตอุปกรณ์เกี่ยวกับไลท์ติ้งครบวงจรให้กับหลายแบรนด์ดัง ทำตลาดทั้งในและส่งออก 40 ประเทศ

 

ก่อนจะ “มองขาด” พลิกโฉมธุรกิจด้วย “นวัตกรรม” ในยุคที่ใครๆ ยังสาละวนกันที่ “ราคา” ด้วยการตั้งบริษัท เลคิเซ่ ไลท์ติ้ง จำกัด ขึ้นในปี 2550 และเข้าร่วมโครงการกับ กฟผ. เลิกผลิตหลอดอ้วนมาผลิตหลอดผอม จากนั้นมีโปรเจกต์ เบอร์ 5 ยกเลิกหลอดไส้มาเป็นหลอดตะเกียบ ผลิตหลอดตะเกียบเบอร์ 5 กฟผ. เพื่อจัดจำหน่ายตามโมเดิร์นเทรด และร้านค้าทั่วประเทศ

 

หลังจากนั้น 1 ปี บริษัทก็ก้าวสู่นักพัฒนา คิดค้นนวัตกรรมหลอดฟลูออเรสเซนต์ T5 หลอดที่ประหยัดพลังงานสูงสุดในปัจจุบัน ภายใต้แบรนด์ “เลคิเซ่” พร้อมกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดกลุ่มงานโครงการ เช่น โคมไฟฟลูออเรสเซนต์ หลอด LED, Exit Sign เป็นต้น

 

ปัจจุบัน “เลคิเซ่” มีสัดส่วนการผลิตเป็นการรับจ้างผลิต 40% ตลาดคอนซูเมอร์ 30% และงานโปรเจกต์ 50% โดยรวมถึงงานโปรเจกต์ในต่างประเทศด้วย ด้านรับจ้างผลิตและคอนซูเมอร์อยู่ที่อย่างละ 25% มีกำลังการผลิตราว 80 ล้านชิ้นต่อปี และมีสินค้า 1,500 รายการ

 

“เราเป็นเบอร์ต้นๆ ของผู้ผลิตในเมืองไทย ในด้านไลท์ติ้ง เราใช้กลยุทธ์ “นวัตกรรมสินค้า บริการ และการตลาด” และ “บริการหลังการขาย” เรารับเคลมสินค้าคืน 100 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ช่องทางขายสินค้าในประเทศของเราเต็มทั้ง 10 ช่องทาง บริษัทในเครือมีที่ดูแลลูกค้ากลุ่มยี่ปั๊ว กลุ่มลูกค้าต่างจังหวัด โมเดิร์นเทรด รับผลิต ประมูลงานภาครัฐ งานโปรเจกต์ออกแบบและบริการเกี่ยวกับแสง ช่วง 2 ปีมานี้เรากลับมามุ่งที่ตลาดต่างประเทศอีกครั้ง และตลาดเอเชียเพิ่มขึ้นมา อาทิ จีน เวียดนาม กัมพูชา ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ส่งสินค้าแบรนด์เลคิเซ่ไปขาย”

 

อีกหนึ่งเซอร์ไพรส์ของธุรกิจระดับหมื่นล้าน “เลคิเซ่” เปิดขาย “แฟรนไชส์” ด้านพลังงานเจ้าแรกในตลาด รัฐวิไลเล่าว่า ความคิดที่จะทำแฟรนไชส์เกิดในช่วงเริ่มทำตลาดนวัตกรรม เธอมองเห็นว่าคนไทยทำแต่ธุรกิจอาหาร มันยังไม่มีใครทำหลอดไฟรถเข็น ทั้งที่แสงไฟก็เป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้กัน

 

ที่ผ่านมาในวงการธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างปรับตัวเองจากดีลเลอร์หันมาทำในรูปแบบของแฟรนไชส์มากขึ้น เพราะสามารถขยายสาขาได้เร็วกว่าและมากกว่า เธอจึงวางกลยุทธ์การขายในเชิงรุก โดยใช้รถคีออสก์ “หลอดไฟรถเข็น” ลงทุนไม่เกิน 40,000 บาท ซึ่งเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการขยายตลาด และประชาสัมพันธ์แบรนด์ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรง

 

แม้จะเป็นธุรกิจ CSR ผลิตภัณฑ์ที่ได้ประโยชน์ทั้งคนซื้อและคนขาย แต่ตลาดรายย่อยก็ “แสบ” กว่าที่เธอคิดไว้

 

“ตอนเปิดตัวครั้งแรก เราเป็นข่าวในเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง เราก็เอาหน้าตัวเองไปออกสื่อ พอไปอ่านคอมเม้นต์ โอ้โห! โดนด่าไม่มีชิ้นดีเลย ทั้งเรื่องสินค้า แฟรนไชส์หลอดไฟคนไม่ซื้อหรอก เป็นระดับด็อกเตอร์คิดโปรเจกต์นี้ขึ้นมาได้ยังไง คือเขามองว่ามันเล็ก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคนไม่รู้จักเราด้วย จากจุดนั้นเราก็มานั่งคิด บังเอิญเป็นคนที่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้ เราเองก็หาคำตอบให้กับธุรกิจด้วย

 

เราก็ยังพัฒนาโปรดักส์ต่อไป ตอนนี้ก็ 2 ปีกว่าล่ะ มันดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ ส่วนใหญ่แฟรนไชส์จะกระจายอยู่ตามต่างจังหวัด เราเน้นกองทัพมด คนที่ซื้อสินค้า เรามีตัวเลือกให้เลือกเยอะมาก โรงงานมาขายเอง สามารถเปลี่ยนสินค้าที่ขายได้ แล้วมีที่เทสต์หลอดไฟให้ด้วย”

 

เธอให้กำไรจากการขาย 30% ต่อชิ้น ขาย 3-4 หลอดต่อวันก็อยู่ได้แล้ว กลุ่มลูกค้าหลักคือ แม่บ้าน ช่างไฟฟ้า ปริมาณการขายอาจจะไม่หวือหวา ถ้าเทียบกับการขายอาหาร ได้ปริมาณเยอะ แต่กำไร 5-10 บาท แม้แสงสว่างไม่ใช่อาหาร แต่จำเป็นสำหรับทุกที่เช่นกัน ซึ่งมีข้อดีกว่าคือ สินค้าไม่หมดอายุ และได้กำไรมากกว่า

 

ถามถึงวิธีการบริหารงาน รัฐวิไลบอกอย่างเคอะเขินว่า ที่เห็นอยู่นี้ “ไม่ใช่ชุดปกติของเธอ” ในวันทำงานจะสวมชุดยูนิฟอร์มแบบเดียวกับพนักงาน เธอให้เหตุผลว่า “บุคลากร” คือ หัวใจที่จะทำให้บริษัทก้าวไปสู่ความสำเร็จ แต่การต้องมารับไม้ต่อจากคนรุ่นพ่อ ซึ่งทำผลงานไว้ดีมาก สไตล์การทำงานของเธอจึงออกแนว “สั่งลุย” มากกว่านั่งสั่งงานอยู่บนหอคอยงาช้าง

 

“ตอนแรกที่เข้ามาบริหาร เราไม่ได้การยอมรับใดๆ ทั้งสิ้นจากพนักงาน ต่อหน้ายอมรับแต่ลับหลังเขาจะไม่ทำตามที่เราสั่ง การเข้ามาบริหารในฐานะเจเนอเรชั่นที่ 2 เราต้องทำให้เขาดู เห็นเราทำงานจริงๆ เห็นว่าเราทำได้ ถึงแม้ว่าไม่มีพนักงาน ถ้าเราทำได้ ความเชื่อถือก็จะตามมาแล้วมันจะพลิกการทำงานแบบหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นว่ามีคนอยากจะช่วยเราทำงานให้ประสบความสำเร็จ”

 

มาถึงบรรทัดนี้จะขนานนามเธอว่า “เจ้าแม่แห่งแสงสว่าง” ก็คงไม่เกินไปนัก