ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี (TMB Analytics) มองว่า แม้ค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงจะเป็นปัจจัยหนุนภาคการส่งออก แต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะยังมีอุตสาหกรรมบางกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวนี้ ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมกลุ่มพลังงาน เคมีภัณฑ์หรือเครื่องจักร แนะผู้ประกอบการควรขยายการส่งออก
การส่งออกของไทยในเดือนกุมภาพันธ์หดตัวเกินคาดที่ร้อยละ 6.1 ต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ 3.5 ซึ่งการหดตัวในเดือนกุมภาพันธ์เป็นผลมาจากสินค้าโภคภัณฑ์ที่ราคาตกต่ำลง ไม่ว่าจะเป็น น้ำมันสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก และยางพารา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยังมีสินค้าที่ขยายตัวได้ดี อาทิ แผงวงจรไฟฟ้า โทรทัศน์ และวัสดุก่อสร้าง
ทั้งนี้สหรัฐฯ รวมถึงCLMV ยังคงขยายตัวได้ดีอยู่ ส่วนตลาดยุโรป ญี่ปุ่น จีน และอาเซียน-5 ยังหดตัว ส่งผลให้การส่งออกไทยในช่วง 2 เดือนของไตรมาสแรกหดตัวร้อยละ 4.8 ท่ามกลางสถานการณ์การส่งออกและนำเข้าที่ไม่สู้ดีนัก การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อภาคธุรกิจ เนื่องจากผู้ส่งออกและนำเข้าของไทยใช้ดอลลาร์สหรัฐในการชำระเงินเป็นหลักสูงถึง ร้อยละ 80 ของมูลค่าการส่งออก และนำเข้าทั้งหมด
โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี (TMB Analytics) ได้พิจารณาถึงผลกระทบจากความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท ต่อภาคธุรกิจ ผ่านสัดส่วนการขายในประเทศกับการส่งออก สัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศกับการนำเข้า และอัตรากำไรขั้นต้นของแต่ละอุตสาหกรรม พบว่า ในกรณีที่เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าสินค้าที่มีสัดส่วนการส่งออก และสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศสูงจะได้รับผลกระทบทางลบมากที่สุด ซึ่งสินค้าเหล่านี้ได้แก่ สินค้าเกษตรกรรม อาทิ ข้าว ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง น้ำตาล เป็นต้น ส่วนกรณีที่เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า สินค้าที่มีสัดส่วนการส่งออกและสัดส่วนการใช้วัถตุ
ดิบในต่างประเทศจะได้รับผลกระทบทางลบมากที่สุดคือ กลุ่มสินค้านำเข้า ได้แก่ เครื่องจักร เหล็ก พลังงาน และเคมีภัณฑ์ อุตสาหกรรมที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำที่สุดในกลุ่มนี้คือ พลังงาน ทำให้ในกรณีที่เงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าจะทำให้ผู้ผลิตมีแนวโน้มผลักภาระไปยังผู้บริโภคผ่านทางการขึ้นราคาสินค้าได้
นอกจากนี้ ความผันผวนของค่าเงินบาทส่งผลต่อภาคธุรกิจเช่นกัน โดยเฉพาะการกำหนดราคาขายของผู้ส่งออก ในปีนี้ ตัวอย่างความผันผวนเกิดขึ้นช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เมื่อนำค่าเงินบาทมาเทียบกับดอลลาร์สหรัฐเคลื่อนไหวในทิศทางแข็งค่าอยู่ที่ 32.4 บาท จากต้นเดือนมกราคมที่ระดับ 32.9 บาท ต่อมาวันที่ 11 มีนาคม ธนาคารแห่งประเทศไทยลดอัตราดอกเบี้ย นโยบายสวนทางกับตลาดที่คาดว่าจะคงดอกเบี้ย ทำให้ค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าอยู่ในระดับเดียวกับต้นเดือนมกราคมที่ระดับ 32.8 บาทต่อ 1 กับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งใช้เวลาเพียง 11 วันในการอ่อนค่ากลับไปที่ระดับเดิม
ผู้ประกอบการควรมีแผนรองรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น นอกจากการบริหารรายรับรายจ่ายที่อยู่ในรูปเงินตราต่างประเทศแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินหลากหลายที่ช่วยลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเช่นกัน การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในทิศทางอ่อนหรือแข็งค่า มีทั้งข้อได้เปรียบและเสียเปรียบในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการของตลาด และการขยายตลาดส่งออก และเพิ่มเติมด้วยการสนับสนุนของภาครัฐและความร่วมมือของภาคเอกชน เพื่อผลักดันภาคการส่งออกให้มีทิศทางที่ดีขึ้นต่อไป