“แซ่บแน่”ส้มตำถาด รุ่ง มุ่งสู่แฟรนไชส์


        การหาจุดเด่นของธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความสนใจให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ โดยเฉพาะธุรกิจร้านส้มตำ “แซบแน่” นี้ที่มีวิธีการนำเสนอส้มตำจากใส่จานธรรมดาเปลี่ยนมาเป็นใส่ถาด จึงทำให้กลายเป็นความแปลกใหม่โดนใจคนกรุงเทพฯ จนกระทั่งลูกค้าล้นร้านแทบทุกวัน

        สำหรับร้านแซบแน่นี้เป็นธุรกิจของคุณฉัตรวลัย เรื่องศรี ที่เกิดขึ้นจากความชื่นชอบกินอาหารอีสานมาตั้งแต่เด็ก จนทำให้ความชอบนี้กลายมาเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตในการเริ่มต้นสร้างธุรกิจ และในขณะเดียวกันคุณฉัตรวลัยก็ได้รู้จักกลุ่มเพื่อนรุ่นพี่ที่มีพื้นเพเป็นคนอีสาน มีโอกาสตระเวนกินอาหารอีสานตามร้านต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งบางร้านเพื่อนถึงกับบอกว่าไม่อร่อยเลย แต่พอตนได้ลองทำให้เพื่อนชิมบ้าง เพื่อน ๆ ต่างบอกตรงกันว่ารสชาติอร่อย สามารถทำออกขายได้เลย และสิ่งนี้เองก็เป็นที่มาของการเปิดร้านส้มตำ แต่การดำเนินธุรกิจทั้งหมดนี้ก็ได้ ทัศนนันท์ เพื่อนรุ่นพี่ มาเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ ที่มีส่วนสำคัญในการเซตสูตรและเรื่องของรสชาติอาหาร 

        หลังจากมีความคิดที่จะเปิดร้านส้มตำแล้วคุณฉัตรวลัยจึงได้มองหาลู่ทางทำเลที่ตั้งร้านที่พลาซา Celebrate ย่านทาวน์อินทาวน์ ลาดพร้าว 94 เพราะสถานที่นี้เหมาะสำหรับการเปิดร้านเป็นอย่างมาก เป็นแหล่งของคนทำงานออฟฟิศที่มีกำลังซื้ออยู่ในระดับหนึ่ง ดังนั้นร้านแซบแน่จึงได้เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ต้นปี 2556 จนมาถึงปัจจุบัน ที่มีสไตล์การออกแบบร้าน ในรูปแบบโมเดิร์น ที่ไม่เหมือนร้านส้มตำทั่วไป ทำให้โดยรวมร้านดูมีระดับขึ้นมานิดหนึ่ง       

        นอกจากนี้จากการสำรวจบริเวณโดยรอบของร้าน ซึ่งพบว่ามีคู่แข่งเป็นจำนวนมาก ทั้งร้านอาหารอีสาน ร้านส้มตำ เป็นต้น แต่หากมองในมุมกลับกัน แสดงว่าร้านอาหารแนวนี้ได้รับความนิยมคนชอบรับประทานมากเช่นกัน แต่ร้านเหล่านั้นไม่ได้มีการออกแบบดังร้านของตนเอง จึงทำให้ร้านแซ่บแน่เป็นจุดขายที่โดดเด่นขึ้นมา ดังนั้นผลตอบรับจากลูกค้าในช่วงแรก ๆ ต้องขอบอกได้เลยว่า สามารถขายได้เรื่อย ๆ มีกำไรเข้ามามากพอสมควร จนทำให้ขยายกิจการเปิดร้านสาขาที่ 2 ได้ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณลาดพร้าว 71 ห่างจากที่นี่ไม่ไกลกันมากนัก สามารถดูแลบริหารจัดการร้านได้ทั่วถึง หลังจากที่ดำเนินธุรกิจมาได้ประมาณ 1 ปี ก็ย้อนกลับมามองธุรกิจของตัวเองว่า ร้านแซบแน่ยังไม่มีเอกลักษณ์ ไม่มีจุดเด่นที่ชัดเจน จึงทำให้ต้องเริ่มคิดสร้างจุดขายให้กับร้าน และประกอบกับช่วงนั้นได้เดินกลับบ้านเพื่อนที่จังหวัดอุดรฯ แม่เพื่อนได้ตำส้มตำมาให้กิน แต่แทนที่เขาจะใส่จาน กลับเอาส้มตำใส่ถาดไว้ตรงกลาง ส่วนรอบ ๆ ของถาดก็จะมีเครื่องเคียงมากมาย ทั้งแคบหมู หมูยอ หน่อไม้ ผักกาดดอง ขนมจีน เส้นหมี่ลวก ไข่ต้ม และผักตามฤดูกาล เช่น ใบกระถิน เม็ดกระถิน ที่บ่งบอกได้ถึงวัฒนธรรมการกินของคนต่างจังหวัดที่มักจะกินกับข้าวจากในถาด ไม่ว่าจะเป็นปลาทอด น้ำพริก ผักต้ม ส้มตำ เวลากินข้าวทีก็จะทำกับข้าวครั้งละเยอะ ๆ เผื่อทุกคน ไม่ได้ทำมาเป็นจานเหมือนกับคนกรุงเทพฯ ฉะนั้นสิ่งนี้จึงกลายเป็นความน่าสนใจเป็นอย่างมาก ที่จะนำไอเดียตรงนี้มาต่อยอดธุรกิจ โดยได้เริ่มทำตั้งแต่ช่วงต้นปี 2557 เป็นต้นมา       

       ซึ่งส้มตำถาดนั้นจะแบ่งออกเป็นถาดลาว และถาดไทย มีให้เลือก 2 ขนาด ราคาถาดใหญ่อยู่ที่ 130 บาท ส่วนถาดเล็ก 50-60 บาท ส่วนคุณภาพของวัตถุดิบเช่น ปลาร้า แหนมเนือง หมูยอ ถูกจะสั่งตรงมาจากจังหวัดอุดรฯ จนกระทั่งมีกระแสตอบรับดีขึ้นเกิน 100% สำหรับเมนูยอดนิยมมักเป็นส้มตำ แกงผักหวานเห็ดเผาะที่หารับประทานได้ยาก ที่พอกัดเข้าไปจะรู้สึกกรุบ ๆ และมีน้ำของเครื่องแกงแตกออกมา ส่วนเมนูอื่นที่ได้รับความนิยมก็อย่าง ไก่นึ่งแซ่บแน่ แหนมเนือง แกงหน่อไม้ใบย่านาง นอกจากนี้ยังได้พยายามคิดค้นเมนูแปลก ๆ ขึ้นมาเรื่อย ๆ อย่างเช่น ตำด๊องแด๊ง ที่เป็นเส้นหัวขนมจีนนำเอามาใส่ในส้มตำ มีเส้นหมี่ แคบหมู โรยหน้าด้วยหอมเจียว เป็นต้น

        ทั้งนี้ร้านแซบแน่เปิดให้บริการตั้งแต่ 11.00-22.00 น.ของทุกวัน มีผลตอบรับดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง มากถึงขั้นมีลูกค้าโทรมาจองโต๊ะล่วงหน้ากันเลย ซึ่งส่วนมากในช่วงเที่ยงลูกค้าต้องรอคิวกันเยอะมาก ถ้าหากเป็นช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ คิวจะเยอะถึง 200 คิว แต่ในบางครั้งร้านมีลูกค้าเข้าเต็มร้านแล้ว พวกเขาก็จะเลี่ยงไปสาขา 2 ตรงลาดพร้าว 71 แทน ฉะนั้นจากที่ลงทุนไปประมาณ 1.5 ล้านบาท สามารถเรียกทุนคืนได้แล้ว

        สำหรับในอนาคตอันใกล้นี้คุณฉัตรวลัยจะเปิดขายแฟรนไชส์ แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงของการศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม เพราะต้องมีระบบใช้ในการตรวจสอบเรื่องของรสชาติ และคุณภาพ รวมไปถึงในเรื่องของการร่างสัญญา ซึ่งขณะนี้ก็มีผู้สนใจซื้อแฟรนไชส์ติดต่อเข้ามามากพอสมควร ส่วนมากจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่อายุไม่มากนัก แต่ในช่วงแรกของการขายแฟรนไชส์ ตั้งใจจะเปิดขายแค่ 3 สาขา ในกรุงเทพฯเท่านั้น แต่เป็นคนละโซนกับทางร้านของเรา ดังนั้นค่าแฟรนไชส์ที่ตั้งเอาไว้น่าจะอยู่ที่ 150,000 บาท ถึงอย่างไรก็ตามทุกวันนี้ต้องรักษามาตรฐานคุณภาพ รสชาติอาหาร และการบริการให้ดีต่อเนื่อง เพื่อให้ “แซ่บแน่” เป็นร้านส้มตำร้านแรกที่ลูกค้าจะนึกถึงไปตลอด