ทำไมธุรกิจยุคนี้ต้องทรานส์ฟอร์มถึงจะอยู่รอด
การทำธุรกิจสมัยนี้ เราไม่อาจทำแบบเดิม ขายแบบเดิม บริหารแบบเดิมได้อีกต่อไป เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยมากขึ้นจึงเข้ามาเปลี่ยนแปลง ทำให้ธุรกิจที่ทำอยู่ดียิ่งขึ้น
‘ขนมเค้ก’ จัดว่าเป็นขนมแห่งความสุข ด้วยรสชาติที่หวานหอม นุ่มละมุนลิ้น บวกกับสีสันที่ชวนลิ้มลอง ดังนั้นจึงขอแนะนำธุรกิจเค้กร้อยล้าน sweet’n soft caked ที่กำลังครองตลาดกับกลยุทธ์ 3 ชิ้น 100 ที่กลายเป็นแรงจูงใจใครหลาย ๆ คนให้เข้ามาซื้อไม่ขาดสาย จุดเริ่มจากเงินลงทุนเพียง 2,000 บาท
คุณประภากร ไชยมาตร และธนวัต ถ้วนสมบูรณ์ เป็นผู้ก่อตั้งและเจ้าของแบรนด์ สวีท ซอฟ เค้ก ได้เอ่ยถึงธุรกิจของตนเองว่า ก่อนที่จะหันมาเปินร้านเค้กนั้น เคยขายเสื้อผ้ามือสองมาก่อนหน้านี้ โดยทำตั้งแต่อายุ 18 พออายุ 20 ก็โดนโกงจนล้มละลาย จนทำให้บ้านโดนยึด รถก็ต้องขายทิ้ง แม้แต่เงินกินข้าวก็ยังไม่มีเลย ซึ่งในตอนนั้นไม่รู้จะทำอะไรแล้ว แต่พอดีมีพี่คนหนึ่งเขาทำบลูเบอร์รี่ชีสพายมาให้ชิม มีรสชาติที่อร่อยมาก
แฟนก็เลยลองหาสูตรในอินเตอร์เน็ตดู และเจอสูตรเยอะมาก ก็เลยตัดสินใจว่าจะทำเค้กขึ้นมา แต่ในความโชคร้ายกับกลายเป็นความโชคดีที่ตอนนั้นเพิ่งคลอดลูกคนที่สองพอดี คุณแม่ได้ให้ค่านมลูกมา 2,000 บาท และนำเงินส่วนนี้มาลงทุนซื้อวัตถุดิบ ส่วนอุปกรณ์ทำเบเกอรี่ก็ยืมมาจากเพื่อนแทน หลังจากนั้นเมื่อทำเค้กออกมาได้ 5 ก้อน ตัดแบ่งได้ 50 ชิ้น ก็ลองให้เพื่อนชิม และทุกคนก็บอกว่าอร่อย
ดังนั้น จึงลองไปขายที่ตลาดนัด ตรงตลาดสินธร ปรากฏว่าขายหมดในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง ทำให้ได้กำไรมาแบ่งไว้ซื้อนมให้ลูกส่วนหนึ่ง และอีกส่วนนำไปลงทุนต่อ ซึ่งทั้งหมดนี้จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจนี้ขึ้นมา ถึงแม้จะเรียนจบเพียงชั้น ม.6 ส่วนสามีเรียนวิศวกรรมศาสตร์ แต่เรียนไม่จบ แม้ไม่ได้มีวุฒิการศึกษาสูง แต่ทั้งคู่ก็อาศัยความพยายาม มุ่งมั่น เรียนรู้ จนประสบความสำเร็จในโลกของธุรกิจ
สำหรับราคาขายตอนแรกตั้งไว้ชิ้นละ 50 บาท ซึ่งในราคานี้บางคนมองว่าแพงไป จึงกลับมาช่วยกันคิดว่า จะขายในราคา 3 ชิ้น 100 บาท ส่วนชิ้นเดียว 35 บาท ดีไหม เมื่อคำนวณต้นทุนก็คิดว่าน่าจะไหว ซึ่งปรากฏว่าได้รับผลการตอบที่รับดีมาก ดังนั้นราคาขายนี้ได้ขายในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น แต่ส่วนต่างจังหวัด ได้ปรับราคาเป็น 3 ชิ้น 115 บาท ชิ้นเดียว 39 บาท เพราะต้องเพิ่มค่าขนส่งเข้าไปด้วย
เค้กของ sweet’n soft cake คุณประภากรบอกว่า มีความหลากหลาย มีให้เลือกกว่า 30 หน้า
ซึ่งเค้กแต่ละหน้าทางเราพยายามทำสินค้าให้โดดเด่น น่าสนใจ ไม่จำเป็นต้องให้เว่อร์ แต่จะทำให้รู้สึกถึงความเป็นสินค้าโฮมเมด เพื่อให้ลูกค้าซื้อไปแล้ว รู้สึกคุ้มค่ากว่าราคา 35 บาทที่เสียไป ทั้งนี้เค้ก มีน้ำตาลน้อย ซึ่งในหนึ่งก้อน (10 ชิ้น) มีน้ำตาลไม่ถึง 1 ขีด เพราะเราให้ความสำคัญในเรื่องสุขภาพ โดยพยายามไม่ให้หวานมากเกินไป นอกจากนี้การผลิตเค้กทางเรามีโรงงานที่ผลิตเค้กเพียงแห่งเดียวเท่านั้น เพื่อให้เค้กที่ออกไปถึงมือลูกค้าได้มาตรฐาน มีรสชาติที่เหมือนกันทุกชิ้น
ดังนั้น เมื่อสินค้าได้รับความนิยมมากขึ้น จึงต้องมีการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้มีแม่ค้ารายย่อยสนใจอยากรับไปขายต่อ ด้วยเหตุนี้จึงต้องคิดหาวิธีให้สามารถผลิตเค้กได้มากขึ้น โดยเริ่มเปลี่ยนบทบาทจากผู้ขายมาเป็นผู้ผลิตแทน และสิ่งสำคัญที่ทำให้ sweet’n soft cake ครองใจลูกค้ามาอย่างยาวนานก็คือ คุณภาพวัตถุดิบและรสชาติที่ดี
สำหรับการรักษาคุณภาพสินค้านั้น พวกเราให้ความสำคัญมาก สตอร์เบอรี่ที่ใช้เป็นสตอร์เบอรี่ลูกใหญ่ นำเข้าจากสหรัฐอเมริกาเดือนละ 3 ตัน ใช้เนยแท้ ครีมชีสอย่างดีจากออสเตรเลีย ชาเขียวมัทฉะแท้จากญี่ปุ่น ทุกอย่างใช้ของดี เพื่อให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจสูงสุด จนกระทั่งปัจจุบัน sweet’n soft cake มีสาขากว่า 300 แห่งทั่วประเทศ
ในส่วนของลูกค้าที่เข้ามาซื้อเค้กเยอะสุดจะเป็นลูกค้าผู้หญิงและเด็ก แต่กลุ่มเป้าหมายของ sweet’n soft cake ที่ตั้งไว้ว่าจะเป็นบุคลทั่วไป ทุกวัย ที่สามารถซื้อได้หมด ดังนั้นเท่าที่สังเกตลูกค้าเราคือกลุ่มกลางถึงล่าง ซึ่งราคานี้นักเรียน นักศึกษาสามารถซื้อทานได้ และกลุ่มคนทำงานเงินเดือนน้อยก็เช่นกัน
ฉะนั้นยอดขายในปีนี้ sweet’n soft cake ทำยอดขายได้ 180 – 190 ล้านบาท ซึ่งเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก และในปีหน้าได้ตั้งเป้าไว้ที่ 250 ล้านบาทขึ้นไป และคิดว่าตัวเลขที่ตั้งไว้ก็น่าจะเป็นไปได้
เพราะกำลังมีทั้งระบบแฟรนไชส์ที่ได้มาตรฐานเพิ่มขึ้น และสินค้าเค้กระดับพรีเมี่ยม นอกจากนี้ผู้คนส่วนใหญ่ที่ผ่านหน้าร้านเขามักไม่เชื่อว่าเราใช้วัตถุดิบที่ดี อาจเพราะในเรื่องของการสื่อสารกับลูกค้าที่ยังดีไม่พอ ซึ่งตรงนี้เราก็ต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น ส้วนสำหรับปีหน้ามีแผนการที่จะจับลูกค้าระดับกลางถึงบน
โดยพัฒนารูปแบบแบรนด์ให้ดูอินเตอร์มากขึ้น พร้อมทั้งขยายกิจการไปขายในตลาดต่างประเทศ โดยมองไปที่ประเทศแถบอาเซียนก่อน แล้วค่อยขยายไปในเอเชียตามลำดับ ถึงอย่างไรก็ตามก็ไม่ทิ้งกลุ่มลูกค้าเดิมแน่นอน
ฉะนั้นตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้จากเงินลงทุนเพียง 2,000 บาท ทำให้ทุกวันนี้ธุรกิจของทั้งคู่ทะลุร้อยล้านได้ ด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเทให้กับสินค้าของตัวเอง ถึงแม้จะมีปัญหาเข้ามาก็ไม่ยอมย่อท้อที่จะพัฒนาสินค้าอยู่เสมอ
