“เย็นตาโฟเครื่องทรง” รุกตลาด สปป.ลาว กวาดกำไรมหาศาล


       ทายาท“ณรัตน์ไชย-มัลลิการ์ หลีระพันธ์” สานต่อธุรกิจเย็นตาโฟเครื่องทรงบินลับฟ้าขยายสาขายังประเทศลาว ด้วยรสชาติ และความสะอาด ที่ถูกปากคนลาว พร้อมทั้งวางแผนเชิงรุกกลุ่มเป้าหมายอย่างแนบเนียน โดยได้เปิดสาขาในพื้นที่คนลาวระดับหรู เพื่อขยายโอกาสให้ธุรกิจก้าวกระโดดได้อย่างรวดเร็ว

        ธุรกิจ “มัลลิการ์ อินเตอร์ ฟู๊ด” อยู่ภายใต้การบริหารของคุณชยพล หลีระพันธ์ ทายาทคนโตของ “ณรัตน์ไชย และมัลลิการ์ หลีระพันธ์” ซึ่งได้เข้ามาสานต่อธุรกิจครอบครัว จนสามารถขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศแล้วเมื่อต้นปี 2556 และปัจจุบันมีกลุ่มร้านอาหารในเครือข่ายมัลลิการ์ อินเตอร์ ฟู๊ด ทั้งหมด 24 สาขา จาก 5 แบรนด์ ได้แก่ ร้าน “อ.มัลลิการ์” ร้านอาหารไทยสำหรับครอบครัว ย่านเกษตร-นวมินทร์ แบรนด์ต่อมาคือ “เรือนมัลลิการ์” ร้านอาหารไทยระดับพรีเมียม ที่สุขุมวิท และที่ CDC แบรนด์ที่ 3 เป็นแบรนด์ที่คนรู้จักเยอะสุด “เย็นตาโฟเครื่องทรง” เพราะกระจายตัวอยู่ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำกว่า 20 สาขา โดยมีเย็นตาโฟเป็นตัวชูโรงและอาหารไทยในประเภท Quick Service แบรนด์ที่ 4 คือ “ปาป้าปอนด์ พิซซ่า พาย แอนด์” พาสตา ที่ขยายกว่า 3 สาขาแล้ว ทั้งเกษตร-นวมินทร์, เอสพลานาด แคลาย และเมเจอร์ รังสิต และแบรนด์ที่ 5 “ปังยิ้ม” ร้านเบเกอรี และคอฟฟี่เบรก

                                                           

         คุณชยพลได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการขยายธุรกิจไปยังประเทศลาวว่า “ที่จริงมีคนติดต่อให้ไปเปิดสาขาอยู่หลายประเทศ แต่ที่เลือกประเทศลาวเพราะว่า มีวัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่ใกล้เคียงกับคนไทยมากที่สุด และยังสะดวกเรื่องของการขนส่งอีกด้วย ฉะนั้นโอกาสที่เขาจะรับรู้ถึงแบรนด์ไทยนั้นมีมาก และจะเห็นได้ว่าตอนนี้มีทั้งแบล็คแคนยอน, ฟูจิ, โคคา, นีโอสุกี้ ที่ไปเปิด ซึ่งก็เป็นแบรนด์ไทยทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องกรองน้ำยี่ห้อดังๆในประเทศไทยก็ไปเปิดที่ประเทศลาวเช่นกัน ดังนั้นทางเราจะเปิด 2 สาขา แรกที่สาขาสนามกอล์ฟลองเวียง ซึ่งอยู่ติดกับด่านหนองคาย เส้นสะพานมิตรภาพไทย-ลาว เป็นการร่วมหุ้นกับนักธุรกิจชาวเวียดนามเจ้าของสนามกอล์ฟ โดยสาขานี้เปิดให้บริการไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2556 ซึ่งก็ได้ผลตอบรับที่ดี อีกทั้งกลุ่มเป้าหมายมักจะเป็นชาวต่างชาติที่อยู่ในลาว และคนไทยที่ข้ามฝั่งไปเล่นกอล์ฟ และจะมีกรุ๊ปทัวร์มาลงด้วย จึงทำให้ยอดขายของเราดีขึ้นตามไปด้วย ส่วนสาขาที่ 2 เป็นแบรนด์เย็นตาโฟเครื่องทรงที่เราลงทุนเอง 100% เปิดขายในปั๊ม ปตท.สาขาโพนต้อง สาขานี้มีผลตอบรับดีกว่าสาขาแรกเพราะอยู่ตรงข้ามกับกรมป่าไม้ ซึ่งเป็นสถานที่ราชการ ผู้คนเลยพลุกพล่านทั้งคนลาวและคนไทย รวมถึงชาวต่างชาติที่มาติดต่อราชการ ทำให้ยอดขายสาขานี้ดีมาก ทั้งๆที่เพิ่งเปิดขายเมื่อเดือนกันยายนใน 2 ปีที่ผ่านมานี้เอง

        สำหรับโดยรวมของตลาดประเทศลาวนั้น คุณชยพลมองว่า ส่วนใหญ่คนลาวเห็นสินค้าไทยคุณภาพดีกว่าสินค้าจีน โดยเฉพาะสินค้าประเภทแฟชั่น รวมไปถึงอาหารและของใช้ในชีวิตประจำวันทุกอย่างของไทยจะดีกว่า และมีมาตรฐานที่สูงกว่า ส่วนสภาพเศรษฐกิจนั้น คนลาวจะมีความแตกต่างทางชนชั้นสูงมาก ที่จนก็จนมาก ที่รวยก็รวยมาก ดังนั้นการจะเข้าไปทำตลาดที่ลาวจะต้องศึกษาถึงกลุ่มเป้าหมายให้ดีก่อน ซึ่งการที่เราไปเปิดสาขาที่สนามกอล์ฟและปั๊มปตท.เนื่องจากเป็นสถานที่หรูของคนลาว คนที่เข้ามาใช้บริการก็จะขับรถหรู เป็นกลุ่มคนรวยที่กินอาหารดีๆ แพงๆ และจากการพูดคุย สอบถามคนลาวที่นี่ เขาจะบอกว่าคนไทยทำอาหารแซบ ทำอาหารอร่อยและสะอาด

        สำหรับในเรื่องเมนูอาหาร และราคาขายนั้น จะมีราคาเดียวกับร้านในเมืองไทย อย่างเย็นตาโฟเครื่องทรงจะเริ่มต้นที่ชามละ 80 บาท เรื่องรสชาติก็ไม่จำเป็นต้องดัดแปลงอะไร เพราะรสชาติคงที่อยู่แล้ว อีกทั้งราคา 80 บาทก็ไม่ถือว่าแพง แต่ก็จริงอยู่ที่ว่าค่าครองชีพเขาต่ำกว่าเรา แต่ในทางกลับกันร้านอาหารในลาวขายอาหารแพงกว่าในไทยอีก ส่วนสำหรับปัญหาในการดำเนินธุรกิจนั้น มักเป็นเรื่องวัตถุดิบ เพราะบางอย่างต้องนำเข้าจากประเทศไทย ถึงแม้จะมีค่าขนส่งที่เพิ่มเข้ามา แต่ก็สามารถทดแทนได้ เพราะค่าแรงที่ลาวถูกกว่าในไทย เราสามารถจ้างพนักงานในระดับเด็กเสิร์ฟได้ในราคา 4,000 บาทต่อเดือน ถ้าระดับผู้จัดการก็ประมาณ 8,000 บาทต่อเดือน ซึ่งถูกกว่าที่ไทยเยอะ แต่ตอนนี้ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาทแล้ว รายเดือนขั้นต่ำก็ 9,000 บาท จ้างพนักงานที่ลาวได้ 2 คนกว่า แต่การบริหารจัดการธุรกิจเราใช้ผู้จัดการเป็นคนไทย และก็ส่งทีมเทรนเนอร์เข้าไปทุกเดือน ประมาณ 7-8 คนต่อเดือน เพื่อเข้าไปเทรนพนักงาน แต่มักจะเทิร์นโอเวอร์บ่อยเพราะเขายังไม่คุ้นชินกับระบบงานของเรา เพราะประเทศลาวรับระบบฝรั่งเศษสมัยก่อนมาใช้ เช่นเวลาพักกินข้าวหนึ่งชั่วโมง และต่อด้วยนอนต่ออีกหนึ่งชั่วโมง ซึ่งการทำงานแบบไม่มีพักอย่างเรา บางคนรับไม่ได้ก็ลาออกไป ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาเรื่องการพักนี่ล่ะ

        จากความสำเร็จของแบรนด์เย็นตาโฟเครื่องทรง คุณชยพลตั้งใจจะขยายต่อให้ครบ 5 สาขา ในประเทศลาว ซึ่งแต่ละสาขาจะใช้งบประมาณในการลงทุน 3 ล้านบาท ส่วนทางด้านแบรนด์ อ.มัลลิการ์ ยังไม่มีเป้าหมายในการขยายสาขาเพิ่ม เพราะต้องใช้งบประมาณในการลงทุนสูงกว่า และต้องใช้วัตถุดิบที่หลากหลายกว่า ทำให้ยุ่งยากกว่าเย็นตาโฟเครื่องทรง สำหรับการขยายไปลงทุนประเทศอื่นนั้น ตอนนี้ก็มีมองๆ อยู่บ้าง ซึ่งเราก็ได้รับการติดต่อจากประเทศสิงคโปร์มาค่อนข้างนานแล้ว เป็นลักษณะการร่วมทุนกัน แต่ติดอยู่ที่ความพร้อมของเราเอง เนื่องจากสิงคโปร์เป็นประเทศที่มาตรฐานสูง ต้องปรับปรุงโรงงานให้ได้มาตรฐานสากลมากขึ้นทุกๆ ด้าน อีกประเทศหนึ่งคือ พม่า แต่ข้อเสียของพม่าคือ การขนส่งทางเรือล่าช้าไป ขนส่งไปทางรถก็ค่อนข้างลำบากเช่นกัน

        ซึ่งมีหลายคนถามมาว่าทำไมไม่ขายแฟรนไชส์ นั่นก็เพราะว่าประเทศเราไม่มีกฎหมายแฟรนไชส์ ทุกคนขายแฟรนไชส์โดยที่ไม่รู้กฎหมาย ใครที่อยากขายแฟรนไชส์ก็แค่คิดระบบขึ้นมาแล้วขายเลย แต่ไม่ได้คิดถึงเวลาที่มีปัญหา และตราบใดที่บ้านเรายังไม่มีกฎหมายแฟรนไชส์ในประเทศ เราก็จะไม่ขายแฟรนไชส์

        ดังนั้นเมื่อถามถึงโอกาสของผู้ประกอบการไปเปิดร้านอาหารไทยในลาว คุณชยพลฟันธงว่ายังสดใสแน่นอน ถ้าหากธุรกิจ SMEs ต้องการจะเข้าไปลงทุนจริงๆ แนะนำให้หาพาร์ทเนอร์ลาว หรือพาร์ทเนอร์ที่เขาทำธุรกิจในลาวมาก่อน เขาจะช่วยคุณได้เยอะ เพราะขั้นตอนการยื่นเรื่องการติดต่อกับราชการยากมาก ซึ่งบางคนเสียเงินไปแล้วหลายล้านยังไม่ได้เปิดร้านก็มี และที่สำคัญคนลาวค่อนข้างแอนตี้คนไทย อาจเพราะคนไทยไปดูถูกเขาเยอะ จะพูดจาอะไรต้องระวัง เพราะเขาฟังและอ่านภาษาเรารู้เรื่อง ถึงแม้เขาจะยอมรับสินค้าไทยจริง แต่ยังไม่ยอมรับคนไทยมากนัก เพราะคิดว่าเราไปกลืนกินวัฒนธรรมของเขานั่นเอง