ผู้หลักผู้ใหญ่


                                      ผู้หลักผู้ใหญ่

สุขุม นวลสกุล

 

               คงได้ยินได้ฟังกันนะครับว่า  “สังคมไทยเป็นสังคมที่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่”    แต่บางคนอาจจะไม่เข้าใจว่า  ความหมายที่ควรจะเป็นของวลีนี้เป็นอย่างไร   อาจจะคิดว่าเป็นเพียงพูดให้คล้องจองมีสัมผัสคำให้จดจำง่าย  แต่จริงแล้วมีความหมายควรแก่การสร้างความเข้าใจนะจ๊ะ จะบอกให้

               ภาพของคนอายุน้อยยกมือไหว้คนอายุมากกว่าเป็นภาพธรรมดาที่เห็นเสมอในสังคมไทย  เพราะเราเป็นสังคมที่เคารพอาวุโส   อย่างเข่นเราไปบ้านเพื่อน  เพื่อนแนะนำให้รู้จักผู้ชายคนหนึ่งโดยบอกว่า “นี่พ่อเรา”   ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ต้องคิดอะไรมากยกมือไหว้ได้ทันที

               คงไม่มีใครหรอกนะครับ  ที่ได้ยินเช่นนั้นแล้วแทนที่จะยกมือไหว้กลับสอบถามว่า  “ไม่ทราบ พ่อเรียนจบอะไรมา”  ถ้าถามแบบนี้ละก็เพื่อนผู้แนะนำก็คงงง ๆ  ย้อนถามกลับว่า “ถามทำไมวะ”  แล้วพอได้รับคำตอบว่า “กูจบปริญญานะโว้ย  จะไหว้ใครสักคนก็น่าจะมีความรู้เสมอกัน”  พูดแบบนี้จะเป็นเพื่อนกันมานานเท่าใดก็ขาดกันได้วันนั้นแหละครับ  ไม่เชื่อก็ลองทำดู

               แต่ในสังคมเดียวกัน  ภาพของคนอายุมากไหว้คนอายุน้อยก็ได้เห็นกันบ่อย ๆ  จริง ๆ นะครับ  ผมเป็นคนโบราณเคยถูกสอนผิด ๆ ว่า  “อย่าให้คนอายุมากกว่าไหว้นะ จะอายุสั้น”   เวลาเจอะเจอใครที่ไม่แน่ใจว่าเขาอายุมากกว่าหรือน้อยกว่า เพื่อความปลอดภัยผมมักจะยกมือไหว้ไว้ก่อน  ให้เขาเป็นฝ่ายต้องรับผิดชอบเรื่องอายุจะสั้นหรือยาว

               มากระอักกระอ่วนตอนมาเริ่มอาชีพเป็นอาจารย์   ผมเป็น “สอนราม” รุ่นแรกเลยละครับ  ยังหนุ่มฟ้อแม้จะไม่หล่อเฟี้ยวก็เถอะ  ตอนนั้นอายุยังอีกหลายปีถึงจะขึ้นด้วยเลขสาม   แต่ “ศิษย์ราม” รุ่นหนึ่งนี่มีคนอายุมากเข้าเรียนเป็นหมื่นทีเดียว

พวกศิษย์อาวุโสพวกนี้ไม่รู้สังขารตัวเองกันก็แยะ

               บางคนมาติดต่อกับเรา  พอเข้ามาพบเราก็เริ่มด้วยการยกมือไหว้  ทั้ง ๆ ที่หน้าตาท่าทางบอกชัดว่าเขาอายุมากกว่าเราแน่ ๆ   เล่นเอาเราสดุ้งคิดในใจว่า “อายุสั้นแล้วละกู”   พอเขาโผล่มาจะร้องห้ามไปก่อนว่า  “ไม่ต้องไหว้ผมนะครับ”  ก็ไม่กล้าเพราะไม่รู้ท่าทีของเขา  เกิดห้ามเขาแล้วเขาย้อนกลับมาว่า “ผมก็ไม่เคยคิดจะไหว้”  ก็เสียหน้าเสียตาซี

               วิธีแก้เกมของผมเพื่อช่วยประคองอายุให้ยืนยาวก็คือ  ใครที่อายุมากกว่าเราไหว้เรา พอทำกิจธุระกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ผมก็จะบอกเขาตรง ๆ ว่า “ไม่ต้องไหว้ผมนะครับ ผมอายุน้อยกว่าคุณ”  ซึ่งก็ได้ผลเขาจากไปโดยไม่ยกมือไหว้อีก  แต่มีอยู่รายหนึ่งเขากลับสอนวัฒนธรรมผมโดยบอกว่า  “ผมไม่ได้ไหว้คุณ  ผมไหว้อาจารย์  คนอย่างคุณถ้าไม่ได้เป็นอาจารย์ ผมก็ไม่ไหว้  แต่ถ้าคุณเป็นอาจารย์อย่าห้ามผมไหว้   เพราะใครผ่านไปผ่านมาเห็นผมไม่ไหว้อาจารย์  เขาจะหาว่าผมไม่มีสัมมาคารวะ ไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่”

               ได้ยินดังนั้นผมก็เกิดอาการฟ้าแจ้งจางปางเลยละครับ   คนเราไม่ได้ไหว้คนสูงอายุเท่านั้นเราไหว้คนมีตำแหน่งด้วย  นี่แหละที่มาของคำว่า “ผู้หลัก”   ตำแหน่งต่าง ๆ คือหลักของที่ทำงาน   “ผู้หลัก”หมายถึงผู้มีตำแหน่ง  เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครคนนั้นจะมีอายุน้อยหรืออ่อนอาวุโสขนาดไหนมองอย่างไรก็เป็น “ผู้ใหญ่”ไม่ได้  แต่ถ้าถูกตั้งให้มีตำแหน่งก็จะกลายเป็น “ผู้หลัก”  สมควรแก่การที่ผู้ไร้ตำแหน่งทั้งหลายให้การเคารพนบไหว้

               แต่ถ้า “ผู้หลัก”พบกัน  ท่านว่าใครที่หลักเล็กกว่าสมควรจะทำการคารวะผู้ที่หลักใหญ่กว่า  เช่นปลัดกระทรวงอายุ ๕๐ กว่า ๆ  เจอกับนายกรัฐมนตรีอายุไม่ถึง ๕๐   คงไม่ต้องบอกนะครับใครจะต้องยกมือไหว้ก่อน  ถ้าคนเป็นปลัดกระทรวงมือไม่ไวละก็  อันตรายครับ  อาจจะทำให้อีกฝ่ายมองว่ากระด้างกระเดื่อง  ทำให้หลักที่ท่านเป็นอยู่เกิดอาการสะท้านสะเทือนขึ้นมาได้  เรื่องอย่างนี้ไม่ต้องเตือนกันนะครับ

               เพราะฉะนั้นใคร ๆ ที่อายุยังน้อยแต่ศักยภาพสูง  ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งบริหาร ท่านจะกลายเป็น “ผู้หลัก” ที่ผู้น้อยยกมือไหว้ทันที  อย่ารูสึกไม่สบายใจที่โดนคนแก่กว่าทำความเคารพ  เป็นเรื่องของวัฒนธรรม “ผู้กลักผู้ใหญ่”ครับ  อย่าคิดมาก  ไม่ใช่โดนไหว้แล้วรีบส่องกระจกทันทีเพื่อดูว่า “ตูแก่แล้วหรือนี่”   เขาไหว้เราในฐานะ “ผู้หลัก” ไม่ใช่ในฐานะ “ผู้ใหญ่”หรอกจะบอกให้   เตรียมท่ารับไหว้ให้ดูงามดูสง่าก็แล้วกัน

               เมื่อได้รับการยกย่องให้เป็น “ผู้หลัก” แล้วก็โปรดประพฤติตนให้สมกับตำแหน่งด้วย  นั่นก็คือต้องมีหลักในการบริหาร โดยใช้เหตุผลเป็นหลัก  การบริหารคนต้องมีเหตุมีผล สามารถตอบข้อสงสัยข้องใจของลูกน้องที่ได้รับผลกระทบจากการทำหน้าที่หรือใช้อำนาจของเรา  แล้วยิ่งเดี๋ยวนี้คนกล้าหาญขึ้นกล้าเป็นโจทย์กับเจ้านาย  ผู้หลักจึงควรมีคำตอบสำหรับผู้ที่กังขา

               ตัวอย่างเช่น  ถ้าเราย้ายลูกน้องคนหนึ่งที่เคยนั่งทำงานอยู่แนวหลังท้ายห้อง  จับเขามาเป็นกองหน้านั่งเคาท์เตอร์รับลูกค้า  ทำให้เขาไม่พอใจบุกเข้ามาถามหัวหน้าว่า “ผมทำงานไม่ยุ่งกับใครก็สบายดีอยู่แล้ว ย้ายผมมาทำไม  ปวดหัวกับลูกค้าวัน ๆ เพียบเลย”    ถ้าเราตอบว่า  “นั่นนะซี ไม่รู้อะไรดลใจผม  ผมทำอะไรลงไปนี่”  ตอบแบบนี้ลูกน้องก็คงจะหมดความนับถือลูกพี่  ว่าไหมครับ

               หรือถ้าเราตอบว่า “อ๋อ ย้ายเพื่อความเหมาะสมน๊ะ ไม่มีอะไรหรอก”   เขาก็อาจจะรุกว่า “เหมาะสมกับอะไรหรือครับ”   เราก็อธิบายต่อไปว่า  “เหมาะสมกับนโยบายไงครับ”  ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าจะโดนรุกอีกครั้งว่า “นโยบายอะไรหรือครับ”  แล้วเราก็ตอบหน้าตาเฉยว่า  “นโยบายความเหมาะสม เข้าใจไหม”   การตอบแบบวนไปวนมาตอบแบบไม่ตอบอย่างนี้ เขาก็คงคิดว่าเราเป็นนักการเมืองมากกว่าเป็นนักบริหาร  จริงไหมครับ

               ความจริงแล้ว การที่”ผู้หลัก”หรือหัวหน้าจะโยกย้ายหรือเปลี่ยนหน้าที่ลูกน้องก็น่าจะมีเหตุผลก็อธิบายไปซีครับ  “อ๋อ ที่ผมย้ายคุณ  เพราะก่อนหน้านี้คุณนางฟ้าทำหน้าที่อยู่ เธอสวยน่ารัก คนก็แห่มาจีบเต็มเคาท์เตอร์  ลูกค้าบ่นพรึมเข้าติดต่ออะไรไม่ได้เลย  ผมเลยย้ายคุณนางฟ้าออก  หาอยู่ตั้งนานจึงเห็นคุณ  ในแผนกเราไม่มีใครอัปลักษณ์เท่าคุณ  เอาคุณมานั่งแทนนี่ใครเห็นเข้า ถ้าไม่จำเป็นคงไม่เข้ามาเกาะเคาท์เตอร์แน่ ๆ”

               แต่นั่นแหละตอบแบบนี้แม้จะชัดเจนแต่คนฟังคงไม่สบอารมณ์แน่   เขาอาจจะสวนกลับว่า “ผมเข้าใจแล้วครับ  แต่ผมขอเตะหัวหน้าสักครั้งก่อนลาออก”  เป็นอย่างนั้นไป  เพราะฉะนั้นหัวหน้าแม้จะต้องจริงจังตรงไปตรงมากับลูกน้องแต่อย่าตรงเป็น “ขวานผ่าซาก”  เพราะไม่มีใครชอบเป็นซากให้ขวานผ่า  รู้ไว้ด้วย

               ในทางศาสนาเราอาจจะถูกสอนให้รับว่า “ความจริงคือสิ่งไม่ตาย”  แต่ก็เตือนไปว่าการพูดความจริงต้องดูกาลเทศะด้วย นั้นก็คือ เหมาะกับคนฟังไหม หรือเหมาะกับเวลาที่จะเปิดเผยหรือเปล่า  ดังนั้นแม้หลักศาสนาจะห้ามการพูดโกหกแต่ก็ไม่จำเป็นต้องพูดความจริงทั้งหมด  อาจจะพูดเพียงบางส่วนก็ได้

               “ผู้หลัก” จึงควรจะเป็นผู้ที่รู้จักพูด  รู้ว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด  อย่างในกรณีย์ข้างต้นหากเราตอบแบบข้อความข้างล่าง  เหตุการณ์อาจจะผ่านไปด้วยดี  ลองเชื่อผมหน่อยเถอะ

               “อ๋อ เมื่อก่อนคุณนางฟ้านั่ง มีปัญหาเยอะ คนแห่มาจีบเธอเต็มไปหมด  ผมเลยต้องหาคนที่บุคลิกภาพทำให้คนเกรงใจไม่เข้าหาง่าย  มองไปมองมาในแผนกเรา มีคุณเท่านั้นที่มีคุณสมบัตินี่   ยังไง ๆ  ก็ขอร้องช่วยแก้ปัญหาให้แผนกเราด้วย ผมไม่เห็นใคร นอกจากคุณ”