รู้จัก “ฉลากเขียว” เครื่องหมายช่วยสะท้อนความยั่งยืนของแบรนด์ต่อสิ่งแวดล้อม
ฉลากเขียวของประเทศไทย ริเริ่มขึ้นโดยองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Thailand Business Council for Sustainable Development, TBCSD)
รสชาติอาหารเป็นสิ่งสำคัญ
แน่นอนว่าความอร่อยต้องมาก่อนเสมอ แต่ความสมดุลก็เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญด้วย โดยการแพทย์จีนแนะนำให้กินอาหารที่มีรสชาติทั้งห้าในสัดส่วนที่สมดุลกันคือ รสเค็ม รสเปี้ยว รสหวาน รสขม และรสเผ็ด ซึ่งรสชาติถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้อวัยวะสำคัญได้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
–รสเค็ม ช่วยบำรุงไต เพราะไตมีหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกาย ออกไปทางปัสสาวะถ้าไตไม่ดีสารพิษต่างๆ ก็จะตกค้างในร่างกาย หรือถ้ามีความผิดปกติในการถ่ายกะปริบกะปรอยอุณหภูมิในร่างกายก็จะสูงมากทำให้เป็นไข้ได้ และอาจทำให้เป็นโรคนิ่วในระยะต่อมา
–รสเปรี้ยว ช่วยบำรุงตับ ตับทำหน้าที่ผลิตน้ำดีซึ่งน้ำดีจะช่วยในการย่อยอาหาร หากตับไม่ดีจะทำให้ระบบย่อยอาหารแย่ลง ทำให้สารอาหารต่างๆ ที่ร่างกายควรจะได้รับไม่เต็มตามที่ควรจะได้รับ
–รสขม ช่วยในเรื่องการบำรุงหัวใจ แน่นอนว่าหัวใจเป็นอวัยวะสำคัญในร่างกายระดับต้นๆ เพราะหัวใจทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ถ้าหัวใจไม่ดีย่อมส่งผลให้ทุกระบบในร่างกายบกพร่องไปหมด
–รสเผ็ด ช่วยในการบำรุงปอด ช่วยฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ขึ้น เพื่อเปิดให้ออกซิเจนเข้ามาฟอกเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกาย
-รสหวาน ช่วยในเรื่องการให้พลังงานต่อร่างกายในทันทีที่กินเข้าไปทำให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่า จัดอยู่ในอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต แต่อย่าหลงใหลในรสหวานมากเกินไปทำให้อ้วนเนื่องจากร่างกายได้รับพลังงานมากเกินไปจนทำให้เป็นไขมันสะสม
Tip
เมื่อท่านหิวจัดอย่าเพิ่งรีบกินข้าวกับเนื้อสัตว์เข้าไปเพราะจะทำให้ย่อยยาก ให้กินผลไม้รองท้องไปก่อน ผลไม้บางชนิดมีสารที่ช่วยย่อย เช่น มะละกอ จะช่วยดูดซึมอาหารประเภทโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตด้วย
ขอบคุณรูปภาพจาก http://ed.files-media.com