“หมูสะเต๊ะ” เมนูแนะนำชวนสังสรรค์มื้อเย็น


       สะเต๊ะ เป็นอาหารอย่างหนึ่งที่ทำจากเนื้อที่หั่นบาง ๆ อาจจะเป็นเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว แกะ แพะ ปลา เสียบด้วยไม้เสียบที่ทำจากไม้ไผ่และนำไปย่างบนเตาฟืนหรือเตาถ่าน เสิรฟ์พร้อมเครื่องปรุงซึ่งแตกต่างออกไปในแต่ละตำรับ  สะเต๊ะมีจุดกำเนิดมาจากเกาะชวา หรือเกาะสุมาตรา ในประเทศอินโดนีเซีย แต่ก็ยังได้รับความนิยมในประเทศอื่น ๆด้วย เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เนเธอร์แลนด์ และไทย  สะเต๊ะของอินโดนีเซียอาจได้รับอิทธิพลมาจากคาร์บอมซึ่งเป็นอาหารพื้นเมืองของอินเดียภาคเหนือ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากชาวเติร์กอีกต่อหนึ่ง ตำรับดั้งเดิมของชาวตุรกีเป็นเนื้อแพะ หั่นเป็นชิ้นหมักแล้วเสียบเหล็กแหลมย่างไฟ  ชาวเปอร์เซียและชาวอินเดียรับมาดัดแปลงอาจใช้เนื้อบดหรือเนื้อทั้งชิ้น จะเสียบหรือไม่เสียบไม้ก็ได้ เมื่อแพร่หลายมาจนถึงมลายู ชวา จึงกลายเป็นสะเต๊ะอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
        สำหรับในประเทศไทยนิยมใช้เนื้อหมูมากกว่าเนื้อวัว หมักด้วยเครื่องเทศ และรับประทานคู่กับขนมปังปิ้ง น้ำจิ้ม และอาจาด วันนี้พาไปเจาะสูตรร้านหมูสะเต๊ะยอดนิยมใจกลางเมืองที่เปิดมาสองชั่วอายุคน จากรุ่นพ่อถึงรุ่นลูก ที่สืบทอดการทำสะเต๊ะมาเป็นอย่างดี ด้วยเนื้อหมูเคี้ยวนุ่มเต็มปากเต็มคำ ออกรสชาติเครื่องหมักกลมกล่อมหอมเครื่องเทศ กับร้านหมูสะเต๊ะ ร้านมิ้งโภชนา จุดเด่นของร้านนี้ที่ไม่มีร้านไหนเหมือน คือน้ำจิ้มซีอิ้วดำ ซึ่งคุณมิ้งเจ้าของร้านเป็นคนคิดค้นสูตรขึ้นเอง เมื่อได้จิ้มทานกับหมูสะเต๊ะร้อน ๆเข้ากันดี กินเพลินแบบไม่เลี่ยน  ร้านตั้งอยู่ปากซอยจุฬา 30 ถนนพระราม 6 บรรทัดทอง ปทุมวัน กรุงเทพ  ร้านนี้เปิดมา 60 ปี  เมนูในร้านนอกจากมีหมูสะเต๊ะแล้วยังมีไก่สะเต๊ะ ตับสะต๊ะ ข้าวหมูแดง-หมูกรอบ เคล็ดลับคัดแต่หมูเนื้อสันหมักด้วยเครื่องเทศยาจีนอย่างดี ที่เด็ดคือน้ำจิ้มซีอิ๊วดำที่ไม่มีใครเหมือน 
 
 เครื่องปรุงและวัตถุดิบ
เนื้อหมูส่วนสันนอก 
ลูกผักชีคั่วป่น
ยี่หร่าคั่วป่น
ผงกะหรี่
น้ำตาลทราย
น้ำปลา
ไม้เสียบหมูสะเต๊ะ
น้ำกะทิ
วิธีการทำ ใช้เนื้อสันนอกเพราะมันมากกว่า เนื้อหวาน นุ่ม เอาส่วนผสมทุกอย่างผสมเคล้าให้เข้ากันเป็นน้ำหมัก แล้วเทลงไปบนหมูสันนอกที่เตรียมไว้ หมักไปเรื่อย ๆ และมาเสียบไม้โดยเลือกมันปนด้วยรสชาติจะดีในหนึ่งไม้ จากนั้นนำไปปิ้งย่างแล้วทาด้วยน้ำกะทิ 
 
น้ำจิ้ม  พริก มะพร้าว น้ำปลา ถั่วลิสง  เอามาบดให้เข้ากันใส่น้ำปลา น้ำตาล   
อาจาด  แตงกวา น้ำส้มสายชู ผสมน้ำตาล เกลือเล็กน้อย 
 
 
ขอบคุณรูปจาก http://ed.files-media.com/