วันจันทร์, มิถุนายน 24, 2567

แค่ไหนถึงเรียกว่ามี “หนี้เกินตัว”

by Smart SME, 2 กุมภาพันธ์ 2559

แค่ไหนถึงเรียกว่ามี “หนี้เกินตัว”

การมีหนี้อาจจะเป็นเรื่องธรรมดาของหลายๆคน แต่มีหนี้เท่าไหร่ละ ที่เรียกว่ามีหนี้เกินตัว หนี้ในโลกใบนี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ หนี้รวย และหนี้จน
 
หนี้รวย คือ หนี้ที่กู้ยืมมาลงทุน เมื่อกู้ยืมมาแล้วทำให้เรามีเงินเพิ่มขึ้น เช่น คนกู้เงินซื้อแท๊กซี่ เงินผ่อนมา 1 คัน มีภาระต้องส่งไฟแนนซ์เดือนละ 12,000 บาท แต่ปล่อยเช่าเก็บเงินเช่าได้เดือนละ 20,000 บาท ผลลัพธ์สุดท้ายของการก่อหนี้ครั้งนี้ ทำให้มีเงินในกระเป๋าเรียกว่า กำไรเพิ่มขึ้น 8,000 บาทต่อเดือน ดังนั้นหนี้ก้อนนี้จึงเป็นหนี้รวย 
 
ส่วนหนี้จน นั้นคือหนี้ที่้เรากู้ยืมเงินคนอื่นมาแล้ว ทำให้เรามีรายจ่ายเพิ่มขึ้น มีเงินน้อยลง หรือทำให้เราจนลง เช่น เงินกู้ซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัย เงินกู้บัตรเครดิต หนี้เหล่านี้ล้วนแล้วแต่สร้างค่าใช้จ่ายรายเดือนให้เพิ่มขึ้นโดยไม่มีรายได้แต่อย่างใด ดังนั้นหนี้กู้ซื้อบ้าน และกนี้บัตรเครดิต จึงเป็นหนี้จน
 
คำถามที่ว่า เรามีหนี้เกินตัวหรือเปล่า นั่นต้องเฉพาะเจาะจง หรือพิจารณาเฉพาะหนี้จนเท่านั้น หนี้มีมากก็ชั่งก่อนเถอะมีเยอะก็รวยแยะ แต่หนี้จนนี่สิ ยิ่งมีมากยิ่งยากจน โดยทั่วไปแล้วคนเราไม่ควรมีภาระจากหนี้จนเกิน 30% ของรายได้ ความหมายก็คือ เมื่อเรานำยอดเงินที่ต้องใช้ผ่อนชำระหนี้ต่างๆ ในแต่ละเดือนมารวมกัน หารด้วยรายได้ และคูณ 100 ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ควรเกิน 30% 
 
ตัวอย่างเช่น นำเงินผ่อนชำระหนี้คอนโด 4,500 บาทต่อเดือน มารวมกับเงินผ่อนชำระมือถือ 2,100 บาทต่อเดือน = 6,600 บาท หารด้วยรายได้ 22,000 บาท แล้วคูรด้วย 100 ผลลัพธ์คือ จะได้ภาระหนี้ต่อเดือน = 30% พอดิบพอดี 
 
แปลความได้ว่า หนี้ที่คุณมีอยู่ในปัจจุบันนั้นเต็มพิกัดแล้ว กรุณาอย่าเผลอสร้างหนี้เพิ่มขึ้นอีกเป็นอันขาด มิฉะนั้นโอกาสที่คุณจะตกที่นั่งลำบากทางด้านการเงินในอนาคตจะสูงขึ้นถึงขั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทางที่ดีควรอยู่ห่างห้างสรรพสินค้า และหลีกเลี่ยงการฟังโปรโมชั่นจูงใจต่างๆไว้ก็น่าจะดี 
 
ถึงตรงนี้หลายท่านอาจสงสัยว่า เราเอาตัวเลข 30% มาจากไหน ก็ต้องตอบตามตรงที่จริงก็ไม่ได้มีกฎอะไรตายตัว หลักการก็มีเพียงประเมินจากรายได้ทั่วไปที่เราพึงมี แล้วหักลบออกจากรายได้ เหลือเท่าไหร่ก็เป้นงบประมาณหนี้จน ลองดูวิธีคิดดังนี้ เปื่อจะเข้าใจมากยิ่งขึ้น 
 
รายได้ 100% หักภาษี 10% หักประกันสังคม 5% หักเงินออม 10% หักใช้จ่ายส่วนตัว 40-50% เช่น ค่าเดินทาง ค่าอาหาร และอื่นๆคงเหลือไว้ก่อนหนี้ 30-35% อย่างไรก็ดี สำหรับคนที่จำเป็นต้องมีบ้าน และรถยนต์ ด้วยเหตุผลใดก็ตามก็อาจยอมให้อัตราส่วนเงินผ่อนชำระหนี้ต่อรายได้ขยับเพิ่มเป็น 40% แต่ถ้าหากมีหนี้เกิน 40% ขึ้นไป คุณเองก็จะมีชีวิตทางด้านการเงินที่ลำบากแน่นอน แต่ว่าไปคนที่มีหนี้แล้วรู้จักหยุด วันนึงก็จะกลับมามีสภาพคล่องที่ดีได้ แต่คนที่กู้ไปเรื่อยๆ มีหนี้เยอะแต่ก็ยังมีคนให้กู้ แล้วก็คิดว่าตัวเองมีเครดิตดี ลักษณะแบบนี้ไม่นานชีวิตก็ต้องพัง เพราะว่าหนี้จน 
 
ปิดท้ายเรื่องหนี้จนด้วยสัญญาณอันตรายที่คุณควรจับตา ดูภาวะการเงินของตัวเองให้ดี 
 
1. มีหนี้มาก จนต้องเริ่มผ่านชำระขั้นต่ำ
2. เงินผ่อนชำระหนี้ต่อรายได้เกิน 40% 
3. เงินกู้ยืมเงินมาเคลียหนี้
 
ถ้าใครมีครบทั้ง 3 อาการที่ว่ามานี้ รอวันจมกองหนี้ และเครดิตทางการเงินพังได้เลย

Mostview

Beam บริการสกูตเตอร์ไฟฟ้าโบกมือลา หรือว่ายานพาหนะนี้จะไม่เหมาะกับประเทศไทย

Beam ผู้ให้บริการสกูตเตอร์ไฟฟ้าแบบเช่า ประกาศยุติให้บริการในประเทศไทย วันที่ 30 มิ.ย.67 โดยเฟซบุ๊กแฟนเพจ Beam Thailand โพสต์ข้อความว่าเราขอขอบคุณสำหรับความร่วมมือและการสนับสนุนของท่านตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

วางตัวอย่างไรให้เป็นที่เคารพ เป็นคนที่ใครๆ อยากเข้าใกล้ ร่วมทำงานด้วย

การทำงานในบริษัทย่อมเจอคนมากหน้าหลายตา แต่ละคนล้วนมีพื้นฐาน ที่มาที่ไปไม่เหมือนกัน ดังนั้น การมาอยู่รวมกันในองค์กรจำเป็นต้องเคารพซึ่งกันและกัน สร้างบรรยากาศทำงานให้เป็นไปอย่างราบรื่นให้ทุก ๆ วันที่ตื่นขึ้นมาอยากจะมาทำงาน

“Butterbear” น้องหมีเนย เมื่อมาสคอตเป็นอะไรมากกว่าที่คุณคิด

“มาสคอต” ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในสร้างการรับรู้ให้แบรนด์เป็นที่รู้จักของคนมากขึ้น หลายแบรนด์จึงใช้วิธีนี้สร้างคาแรคเตอร์ให้กับมาสคอตขึ้นมาเพื่อให้เป็นที่จดจำ

เทรนด์ธุรกิจน่าสนใจนำมาปรับใช้กับการเลือกกองทุนรวม

การเลือกลงทุนในกองทุนรวมหุ้นเปรียบเสมือนกับการเลือกสินค้าที่ผู้ซื้อต้องรู้รายละเอียดของสินค้า รู้ความต้องการของตัวเองคืออะไร เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางเอาไว้

SmartSME Line