ต้องโปร่งใส ขีดเส้น 60 วัน รพ.เอกชน ต้องติดป้ายราคายา-บริการทางการแพทย์


กระทรวงพาณิชย์เดินหน้าแก้ปัญหา “ค่ายาและเวชภัณฑ์-บริการทางการแพทย์” โรงพยาบาลเอกชนแพง เตรียมออกประกาศ กกร. สั่งปิดป้ายแสดงราคาให้ผู้บริโภคได้รู้ก่อนตัดสินใจใช้บริการ ส่วนโครงสร้างต้นทุนค่ารักษาพยาบาล ตั้งคณะทำงานเข้าไปดู ขีดเส้น 60 วันรู้ผล

นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณามาตรการกำกับดูแลยาและเวชภัณฑ์และบริการทางการแพทย์ ครั้งแรก ว่า กรมการค้าภายใน ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) จะออกประกาศ กกร. กำหนดให้โรงพยาบาลเอกชนปิดป้ายแสดงราคายาและเวชภัณฑ์ และบริการทางการแพทย์ให้ชัดเจน ซึ่งเป็นมาตรการแรกที่จะนำมาใช้หลังจากที่ได้กำหนดให้เป็นสินค้าและบริการควบคุม คาดว่าจะออกประกาศได้ภายในสัปดาห์หน้า

“การปิดป้ายแสดงราคา ต้องทำให้ประชาชนที่เข้าไปใช้บริการดูได้ง่าย เห็นได้ง่าย อาจจะทำเป็นสมุดให้เปิดดู หรือใส่ไว้ในคอมพิวเตอร์ เว็บไซต์ หรือทำตู้คีออสก์ให้กดดูเหมือนที่บางโรงพยาบาลทำก็ได้ แต่ไม่ใช่ทำแล้วเอาไปแอบไว้ หรือเอาไปเก็บไว้หลังเคาน์เตอร์ โดยเบื้องต้น ในส่วนของยา ให้เน้นรายการที่มีคนใช้เยอะๆ ก่อน อาจจะเริ่ม 1,000 รายการ แล้วค่อยขยับเพิ่มขึ้น เพราะยามีเป็นหมื่นรายการ รวมถึงค่าบริการทางการแพทย์ที่ต้องแสดงราคาด้วย”นายบุณยฤทธิ์กล่าว

ทั้งนี้ ในส่วนของบริการทางการแพทย์ ยังได้ขอความร่วมมือสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ให้แจ้งสมาชิกทุกรายให้แจกแจงค่าบริการทางการแพทย์อย่างละเอียด แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ค่ารักษาพยาบาล กับบริการเพื่ออำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ค่าห้อง และค่าบริการอื่นๆ เพื่อให้ประชาชนที่เข้าไปใช้บริการได้รับรู้ก่อนตัดสินใจเข้าไปใช้บริการ

นายบุณยฤทธิ์กล่าวว่า ที่ประชุมยังได้มีมติให้แต่งตั้งคณะทำงาน มีนายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายในเป็นประธาน เพื่อพิจารณาโครงสร้างต้นทุนค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชนแต่ละระดับ เพราะโรงพยาบาลเอกชนมีระดับต่างกัน ตั้งแต่ 5 ดาว 4 ดาว ลงมาจนถึง 2-3 ดาว ต้นทุนการประกอบการก็อาจจะไม่เท่ากัน โดยให้เวลาในการพิจารณาภายใน 60 วัน และนำให้รายละเอียดที่ได้ทั้งหมดเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณา เพื่อหามาตรการที่เหมาะสมในการดูแลต่อไป

ส่วนประเด็นการรณรงค์ให้ผู้บริโภครับรู้สิทธิ์ในการขอใบสั่งยาและนำใบสั่งยาไปซื้อยาข้างนอกโรงพยาบาลนั้น ได้มอบหมายให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพไปพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และกำหนดให้โรงพยาบาลเอกชนประกาศสิทธิ์ให้ผู้บริโภคเห็นได้ชัดเจน เพราะถือเป็นสิทธิ์ของผู้บริโภคที่จะขอใบสั่งยาและไปซื้อยาข้างนอกได้ ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหายามีราคาแพงลงได้อีกแนวทางหนึ่ง

สำหรับกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินที่ยังมีปัญหาในเรื่องการเข้ารักษาในโรงพยาบาลเอกชน กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่าผู้ป่วยฉุกเฉินจะสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ในทุกโรงพยาบาลใน 72 ชั่วโมงแรก แต่ก็มีการกำหนดเงื่อนไข ต้องเป็นผู้ป่วยในระดับสีแดงเท่านั้น ทำให้ผู้ป่วยในระดับสีเหลือง หรือสีเขียว ที่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต ถูกโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งไม่รับรักษา หรือรักษา แต่ยังมีค่าใช้จ่ายสูงมาก จึงได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขไปพิจารณาว่าจะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไร เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ป่วย

ขณะเดียวกัน เห็นว่าในการรักษาโรค โรงพยาบาลเอกชนจะต้องแจ้งให้ผู้ป่วยทราบก่อนว่าจะได้รับการรักษายังไง มีค่าใช้จ่ายขนาดไหน โดยมีการยกตัวอย่างกรณีมีดบาด ผู้ป่วยต้องเสียค่าใช้จ่ายหลักหมื่นบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง หรือกรณีที่เข้าไปรักษาโรคหนึ่ง แต่มีการตรวจสอบพบเจอโรคอื่นเพิ่มเติม ก็จะต้องแจ้งรายละเอียดการรักษาและค่าใช้จ่ายให้ชัดเจนด้วย