ข้อมูลจากงาน TMB The Economic Insight 2019 ชี้ว่าในปี 2562 ผู้ประกอบการไทยควรปรับกลยุทธ์หาตลาดใหม่ๆ พร้อมพัฒนานวัตกรรมสร้างความต่าง และเครือข่ายการผลิต นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาช่องทางการลงทุนในโครงการ EEC เพราะเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมศักยภาพแห่งอนาคตที่พร้อมรองรับหลากหลายภาคอุตสาหกรรม และมากไปด้วยมาตรการส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ
สำหรับเศรษฐกิจไทยโดยรวม โครงการ EEC จะมีส่วนอย่างมากในการยกระดับการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 จะเห็นได้ว่าโครงการ EEC สามารถรองรับผู้ลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ ได้เพิ่มอีกจำนวนมาก จากตัวเลขรายรับที่ผู้ลงทุนได้เก็บเกี่ยวจากการลงทุน ประกอบกับช่องทางการรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย จะยกระดับศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
ระบบเศรษฐกิจโลกในปี 2562 มีทีท่าชะลอตัวขนานใหญ่
โดยมีปัจจัยสำคัญ คือ
(1) ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญของ OECD ที่ส่งสัญญาณภาคเศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ใน Late Economic Cycle
(2) ระดับราคาน้ำมัน และค่าดัชนี PMI ภาคการผลิตที่อยู่ในขาลงมาตั้งแต่ปี 2561 ราคาน้ำมันโลกลดลงถึง 35% จาก 83 ดอลลาห์สหรัฐต่อบาเรล สู่ 53.8 ดอลลาห์สหรัฐต่อบาเรลเมื่อปลายปี 2561 ขณะที่ค่าดัชนี PMI ลดลงตลอดทั้งปี 2561 จาก 54.5 สู่ 51.5
(3) สถานการณ์บีบรัดของจีน ทั้งจากสงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกา ที่ส่งผลให้ค่าดัชนี PMI ภาคการผลิตของบริษัททุกขนาดติดลบ และความพยายามรัดเข็มขัดเพื่อปรับลดระดับหนี้ของประเทศลง จีนมีระดับหนี้ 267% ของจีดีพี เป็นหนี้ภาคธุรกิจขนาดใหญ่ถึง 162% ของจีดีพี รวมถึงมีหนี้นอกระบบที่ต้องจัดการ นอกจากนี้สภาพตลาดหุ้นที่ราคาตกต่ำ ก็ทำให้ระดับความมั่งคั่งของจีนเริ่มมีปัญหา
เศรษฐกิจไทย ในปี 2562 จะขยายตัว ด้วยแรงผลักดันจากอุปสงค์ภายในประเทศเป็นหลัก
ค่าจีดีพีในปีนี้อยู่ที่ 3.8% ลดลงจาก 4.0% ในปีก่อน มีปัจจัยสนับสนุนหลักคือการบริโภคภาคเอกชน ที่ได้รับอิทธิพลจากโครงการรถคันแรก
สำหรับการส่งออก คาดว่าจะขยายตัว 4.3%YoY ลดลงจาก 6.7%YoY ในปี 2561 เนื่องด้วยผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยเฉพาะจีน การที่ไทยถูกสหรัฐอเมริกาตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร GSP และผลกระทบจากสงครามการค้าของจีนกับสหรัฐอเมริกาที่ยืดเยื้อ
การส่งออกของไทยในปีนี้มีตลาดรองรับที่สำคัญ
CLMV (+9.0%), อาเซียน (+6.5%), ญี่ปุ่น (+5.5%), ยุโรป (+4.5%) และสหรัฐอเมริกา (+4.5%) ตามลำดับ มีสินค้าส่งออกที่โดดเด่น คือ ยานยนต์และชิ้นส่วน, สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์, เครื่องจักร, สินค้าอาหาร และสินค้าจากการเกษตร
จากสภาพเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศดังกล่าว ทำให้ธุรกิจไทยยังคงมีโอกาสที่ดี โดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมของประเทศที่มีศักยภาพ ด้วยอัตราค่าแรงที่ยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับ จีน มาเลเซีย และสิงคโปร์
ระดับความสะดวกในการประกอบธุรกิจที่ค่อนข้างสูง ข้อมูลจาก Ease of doing business ranking ในปี 2561 ไทยอยู่อันดับ 26 ซึ่งสูงกว่า เวียดนาม อินโดนีเซีย และจีน นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ประกอบการไทยจะปรับกลยุทธ์ เช่น มองหาตลาดส่งออกใหม่ๆ พัฒนาสินค้าให้มีนวัตกรรมสูงขึ้น สร้างความแตกต่างของสินค้า ใช้สิทธิประโยชน์จากมาตรการยกเว้นภาษีของหน่วยงานภาครัฐ อย่าง บีโอไอ และประเทศคู่ค้าอื่นๆ รวมถึงสร้างเครือข่ายการผลิตที่แข็งแกร่งกว่าเดิม
โดยโอกาสทองที่สำคัญ อยู่ที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC: Eastern Economic Corridor) แผนยุทธศาสตร์ภายใต้ ไทยแลนด์ 4.0 อันเป็นโครงการพัฒนาเชิงพื้นที่ต่อยอดจาก Eastern Seaboard ซึ่งมุ่งพัฒนาศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมไทยให้แข็งแกร่งและสามารถค้ำจุนเศรษฐกิจโดยรวมได้ในระยะยาว ผ่านการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นสูง
การลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย
อุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ประกอบด้วยกลุ่ม First S-Curve ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต, อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, อุตสาหกรรมเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ, อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร, และ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และกลุ่ม New S-Curve ได้แก่ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์, อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์, อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร, อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ และอุตสาหกรรมดิจิทัล
อ้างอิง: TMB The Economic Insight 2019