เราต้องสู้ กำลังใจคือหัวใจที่สำคัญที่สุด ต่อให้เราสูญเสียอะไรไป ถ้ามีกำลังใจ อดทนอีกหน่อย อย่าพึ่งคิดว่า การฆ่าตัวตายมันคือสิ่งสุดท้าย จริงๆมันไม่ใช่ แล้วถ้าเราอดทนได้ มันก็จะผ่านได้: พีรพล มหาภาพ
The Stronger ฅนหัวใจแกร่ง ครั้งนี้ พาไปพบกับคุณต้อม พีรพล มหาภาพ ผู้พิการการมองเห็น ซึ่งเกิดจากการคลอดก่อนกำหนด ส่งผลให้เขาสูญเสียการมองเห็นของดวงตาข้างซ้ายมาตั้งแต่แรกเกิด ส่วนดวงตาขวาที่เคยมองเห็นในวัยเด็กก็มืดบอดลง จากอาการต้อหินชนิดเฉียบพลันในช่วงที่กำลังศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ท่ามกลางโลกที่มืดบอด เขาเกิดความรู้สึกท้อแท้จนคิดฆ่าตัวตาย แต่ด้วยแรงบันดาลใจจากครอบครัว และคนรอบข้าง ทำให้ฮึดสู้ชีวิตต่อ และกลายเป็นฅนหัวใจแกร่งในทุกวันนี้
คุณต้อมเล่าว่า ช่วงเกิดมา อยู่ในท้องแม่เพียง 7 เดือน แล้วคลอดก่อนกำหนด ทำให้หนักเพียง 9 ขีด และสูญเสียการมองเห็นไป แต่ตาอีกข้างยังคงเห็น ซึ่งก็ไม่คิดว่ามันคือความพิการ และใช้ชีวิตตามปกติได้ จนเหมือนปาฏิหาริย์หมดลง เพราะมาสูญเสียการมองเห็นอีกครั้ง หลังจากการไปผ่าต้อกระจก ที่รักษามาตามขั้นตอน จนเมื่อวันที่ต้องไปผ่าได้เกิดเอ็กซิเด้นท์เพราะมีต้อหินเข้ามาแทรก เป็นชนิดเฉียบพลัน ที่คุณหมอบอกว่าเป็นชนิดปราบเซียน เพราะหนึ่งในหมื่นจะเจอ 1 คนที่เป็นแบบนี้
หลังจากกลับบ้าน ความหดหู่ใจก็ตามมา เพราะทำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน มันทำอะไรไม่ถูก เพราะจากที่เคยทำได้ แต่ทุกอย่างมันหมดลงไปจนใจฝ่อ จนมาเจอคุณนิค นักสร้างแรงบันดาลใจชาวต่างชาติ ที่ไม่มีแม้แขนขาแต่ยังทำงานได้ จึงเกิดกำลังใจให้ตนเองลุกขึ้นสู้ต่อไป
‘เราต้องสู้ ทุกอย่างถ้ามันเศร้า กำลังใจคือหัวใจที่สำคัญที่สุดเลยฮะ ต่อให้เราสูญเสียอะไรไป ถ้ามีกำลังใจอ่ะ อดทนอีกหน่อย อย่าพึ่งแบบคิดว่า การฆ่าตัวตายมันคือสิ่งสุดท้าย จริงๆมันไม่ใช่ แล้วถ้าเราอดทนได้ มันก็จะผ่านได้’
ปัจจุบันคุณต้อมทำงานในมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ อยู่หน่วยประชาสัมพันธ์ และเป็น Call Center อีกส่วนก็รับหน้าที่เป็นบาริสต้าชงกาแฟ ตอนนี้มีเมนูที่ทำได้ คือ อเมริกาโน่ร้อน อเมริกาโน่เย็น เอสเปรสโซ่ สำหรับคอมพิวเตอร์ก็สามารถใช้งานได้เหมือนปกติ เพราะมีโปรแกรมอ่านจอภาพ NVDA อย่างเรากด ด มันก็จะอ่านเป็นเสียง ด ให้ กดตัว F มันก็อ่านตัว F ให้ แต่เราต้องใช้ประสาทสัมผัสที่เหลือในการจำ
นอกจากนั้นคุณต้อมยังสนใจในกิจกรรมการวิ่ง คุณต้อมบอกว่า ผู้พิการทางสายตาสามารถวิ่งได้เหมือนคนปกติ เพราะมีไกด์รันเนอร์ คอยบอกทางขณะวิ่ง เช่น ข้างหน้า 200 เมตร จะมีโค้งนะ โค้งซ้าย โค้งขวา เขาก็จะคอยบรรยายบอกว่าจะวิ่งผ่านอะไร มีอะไร ข้างหน้ามีหลุมหลบ แซงซ้าย แซงขวา ซึ่งได้วิ่งมาเป็นปีที่ 4 แล้ว
จุดเริ่มต้นนี่เกิดจากปัญหาความอ้วน ซึ่งตอนนั้นอยากใส่กางเกงให้ได้ นั่นก็คือแรงบันดาลใจแรกเลยจากตรงนั้นเอง ตอนแรกกลัวว่าจะวิ่งได้ไหม แต่พอได้สื่อสารกันด้วยความเข้าใจ ก็เริ่มปรับตัวได้ เคยวิ่งได้ไกลสุด 42 กิโล มีล้ม มีเจ็บบ้าง แต่ก็ไม่ได้ท้อ คือก็เริ่มใหม่ คิดว่าเอาใหม่ เอาใหม่ จนวันนึงมันก็พาเรามาได้ไกลถึงขนาดนี้
ผมเชื่อว่า ศักยภาพของผู้พิการเนี่ย เราทำอะไรได้อีกเยอะมากครับ อยากให้ทุกคนหาก้าวแรกให้เจอ ว่าเราจะเริ่มจากตรงไหน ผมคิดว่าทุกคนทำได้ แล้ว… แล้วเขาทำได้ดีด้วย ถ้าให้โอกาสเขา แล้วลองเปลี่ยนความคิดนะครับ หรือเราเจออะไรที่มันท้อๆ ที่มันดูแย่สำหรับเรา ในความคิดเรา เราก็ปล่อยทิ้ง แล้วเริ่มใหม่ อดทนอีกนิดนึงแล้วเริ่มใหม่ เหมือนกับว่า คิดว่ามันแค่นี้เองชีวิต แล้วเราเริ่มใหม่ อย่าไปคิดท้อกับมัน มันมีทางที่จะไปต่อได้ ขอแค่เราสู้อยู่ ก้าวแรกมันอาจจะยากครับ แต่ถ้าเกิดคุณมีก้าวแรกแล้วคุณจะไม่อยากกลับไปอยู่ข้างหลังอีกเลย