IPO ต่างจาก ICO อย่างไร?


นักลงทุนต่างก็คุ้นเคยกับคำว่า IPO หรือ Initial Public Offering กันเป็นอย่างดี แต่ในระยะหลังๆ จากความนิยมของสกุลเงินดิจิทัล ที่ทำให้เกิดกลายเป็นเรื่องของทรัพย์สินดิจิทัลในเวลาต่อมา ทำให้มีรูปแบบของการลงทุนที่เรียกว่า ICO หรือ Initial Coin Offering ผ่านเข้ามาให้ได้ยินหรือได้เห็นกันมากขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้นักลงทุนสงสัยว่า การลงทุนที่เรียกว่า ICO นี้แตกต่างจาก IPO อย่างไร Smart SME ไปหาข้อมูลเรื่องนี้มาฝากกัน

ก่อนอื่นไปดูธรรมชาติของ IPO กันก่อนว่ามีกระบวนการที่ใช้ในการซื้อขายอย่างไร แล้วนักลงทุนที่ซื้อ “หุ้น” ได้รับหรือมีสิทธิอะไรบ้างในการลงทุน ซึ่งทาง ก.ล.ต. ได้ทำการสรุปเนื้อหาของ IPO ไว้ดังนี้

IPO (Initial Public Offering)

1.ผู้ซื้อได้รับ “หุ้น” ทำให้ผู้ซื้อมีสิทธิออกเสียงและได้รับเงินปันผล
2.บริษัททำธุรกิจอยู่แล้วมีฐานะการเงินและผลการดำเนินงาน
3.เสนอขายหุ้นผ่านตัวกลางคือผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์
4.ส่วนใหญ่เป็นผู้ลงทุนภายในประเทศที่บริษัทระดมทุน
5.มีหนังสือชี้ชวน / งบการเงินที่รับรองโดยที่ปรีกษาทางการเงินและผู้ตรวจสอบบัญชี
6.มีเกณฑ์กำกับดูแลทั้งก่อนและหลังการเสนอขาย
7.ให้ความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ

ส่วน ICO นั้นก็มีธรรมชาติของตัวมันเอง ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนจะได้รับคือ “ดิจิทัลโทเคน” สำคัญที่เรื่องของสิทธิที่ได้รับหลังจากทำการลงทุน และความคุ้มครองตามกฎหมายที่มีความแตกต่างจาก IPO ส่วนจะแตกต่างอย่างไรนั้น ก.ล.ต. ก็สรุปเอาไว้ให้แล้วเช่นกัน

ICO (Initial Coin Offering)

1.ผู้ซื้อได้รับ “ดิจิทัลโทเคน” ที่แสดงสิทธิได้หลากหลาย เช่นสิทธิในส่วนแบ่งจากรายได้ หรือ การใช้บริการ
2.อาจมีเพียงแนวคิด หรือ แผนธุรกิจ ไม่มีข้อมูลในอดีต
3.เป็นช่องทางให้ผู้ระดมทุนและผู้ลงทุนมาเจอกันโดยไม่อาศัยตัวกลาง
4.อาจระดมทุนได้จากผู้ลงทุนทั่วโลก
5.มี white paper และอาจเปิดเผย รหัสต้นทาง (source code) ของสัญญาอัจฉริยะ
6.ต้องปฏิบัติตามแนวทางการกำกับดูแลสำหรับการออกดิจิทัลโทเคนที่เป็นส่วนแบ่งร่วมลงทุน
7.ส่วนใหญ่เป็นธุรกรรมข้ามประเทศจึงอาจมีข้อจำกัดด้านความคุ้มครองและการเยียวยาตามกฎหมาย

การลงทุนมีความเสี่ยง ICO ก็เช่นกัน เพราะมันเป็นสิ่งใหม่ที่อยู่บนโลกที่ไร้พรหมแดน ควรศึกษากฎระเบียบ และความคุ้มครอง ให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน