เมื่อฮาร์ดแวร์ไม่ทำเงิน Apple หวังแก้เกมด้วยเซอร์วิส


การขยายธุรกิจที่ไม่ได้มุ่งเน้นที่ตัวฮาร์ดแวร์ของ Apple นั้นไม่ใช่เรื่องที่เกินคาดเดา แต่ดูเหมือนว่าการขยับตัวครั้งนี้จะช้าเกินไป เพราะการเลือกจับมือกับพันธมิตรรายใหม่ๆ ที่อยู่นอกอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอย่างที่กำลังจะทำอยู่นี้มันซับซ้อนกว่าที่คิด

วันเปิดตัวก็ไม่ปลื้ม

Apple สร้างความผิดหวังให้กับบรรดาสาวกอีกครั้ง กับงานเปิดตัวเมื่อวันที่ 25 มีนาคม งานนี้ทำเอาคนใน Steve Jobs Theater งานกร่อยไปตามๆ กัน เพราะแทนที่จะได้เห็นเทคโนโลยีที่มีนวัตกรรม กลับได้พบเจอคนในวงการฮอลลีวู้ดแทน ใช่แล้วงานนี้ไม่มีฮาร์ดแวร์อะไรใหม่ แต่มันคือการเปิดตัวบริการดิจิทัลใหม่ 4 ตัวคือ Apple News+, Apple Card, Apple Arcade และ Apple TV+ ซึ่งไม่มีความชัดเจนในเรื่องค่าบริการที่จะเก็บ ดูเหมือนรายละเอียดทุกอย่างต้องรอคอยกันต่อไป

บริการสตรีมวิดีโออย่าง Apple TV+ และบริการ Apple Arcade มีข้อมูลเพียงแค่บอกว่าจะเปิดตัวหลังเดือนกันยายน แต่ไม่ได้บอกเรื่องค่าใช้จ่าย ส่วนบริการ Apple News+ ซึ่งเป็นบริการสมัครเพื่อเข้าถึงสื่อต่างๆ ที่เข้าร่วมก็พบว่าไม่มีหนังสือพิมพ์รายใหญ่หลายฉบับ นอกจากนี้ยังพบว่าหนังสือพิมพ์บางเล่มที่ลงทะเบียนแล้วอาจมีการระงับเนื้อหาบางส่วนได้ ส่วน Apple Card บัตรเครดิตที่เปิดตัวก็ไม่ได้มาพร้อมคุณสมบัติพิเศษต่างจากบัตรอื่น

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นการประกาศว่า Apple นั้นจริงจังกับบทบาทใหม่ในการเป็นผู้ให้บริการดิจิทัลไม่ใช่เป็นแค่ผู้ขายอุปกรณ์ที่สวยงามและราคาแพงอีกต่อไป แต่การเปลี่ยนแปลงนี้กำลังทำให้บริษัทเข้าสู่ดินแดนใหม่ที่มีประสบการณ์น้อยกว่า

บทบาทใหม่ของ Tim Cook

Tim Cook ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านซัพพลายเชน ซึ่งใช้เวลาหลายปีในการเจรจากับผู้ผลิตชิ้นส่วนมากมายในในเอเชียเพื่อทำการประกอบร่าง iPhone ขึ้นมา ตอนนี้ Apple กำลังเข้าสู่วงการ บล็อกบัสเตอร์ ต้องทำงานกับดารา Hollywood ต้องต่อรองกับเจ้าของสำนักพิมพ์ และแน่นอนว่าสถาบันการเงินก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องทำ นี่ยังไม่รวมการหาพันธมิตรผู้พัฒนาเกม การสร้างเครือข่ายพันธมิตรเหล่านี้ถือว่ามีจำนวนมากเอาเรื่อง และแต่ละรายก็มีการทำงานร่วมกับบรรดายักษ์ใหญ่อย่าง Netflix, Amazon และ Google อยู่แล้ว

แม้ในงานเปิดตัว Apple จะนำเอาคนระดับแม่เหล็กของวงการบันเทิงอย่าง โอปราห์ วินฟรีย์, สตีเวน สปีลเบิร์ก และเจสัน โมโม ไปปรากฏตัวเพื่อทำให้คนดูมั่นใจเกี่ยวกับโครงการในอนาคตที่จะทำร่วมกับยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี นั่นแสดงให้เห็นว่าบริษัทสามารถแสวงหาผู้มีความสามารถสูงสุดของวงการนี้มาสร้างผลงานร่วมกันได้ แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องของราคาค่าบริการที่ต้องรอถึงปลายปี

การเปิดตัวบริการใหม่แต่ยังไม่บอกราคา ทำให้เกิดความสงสัยมากกว่าความมั่นใจ โดยเฉพาะในมุมมองของนักลงทุน หลายคนมองว่า Apple TV+ จะไม่สามารถมาฆ่า Netflix ได้ หลังจากงานเปิดตัวบริการใหม่ของทำเอาหุ้นของ Apple ร่วงลง 1.2% ขณะที่หุ้นของ Netflix เพิ่มขึ้น 1.5%

รับรองงานนี้เจอของแข็ง

ตลาดของสตรีมวิดีโอนั้นมีผู้เล่นจำนวนมากมายอยู่แล้ว และรายใหม่ๆ กำลังจะเพิ่มขึ้นในปลายปีนี้ Apple ต้องเรียนรู้และจัดการกับเครือข่ายที่ซับซ้อนในเรื่องของข้อตกลงของวงการนี้อีกมาก มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะจัดกับโครงสร้างความสัมพันธ์ในวงการนี้ การที่ยังไม่สามารถดึงสตูดิโอใหญ่ๆ มาเข้าร่วมได้ อาจจะทำให้ Apple ต้องพึ่งพาภาพยนตร์และรายการทีวีที่ผลิตเองมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ามันอาจจะไม่เพียงพอ

สำหรับ Apple New+ ที่มีการเปิดตัวพร้อมราคา 10 เหรียญต่อเดือน ก็พบว่าสื่อยักษ์ใหญ่อย่าง นิวยอร์กไทมส์ และ วอชิงตันโพสต์ ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการสมัครรับข้อมูลนี้ แม้จะมี Wall Street Journal ให้อ่าน แต่ก็มีส่วนที่สร้างความไม่ชอบมาพากล เมื่อสมาชิกของ Apple จะไม่ได้รับความคุ้มครองทางธุรกิจทั้งหมดของวารสาร Los Angeles Times ซึ่งเป็นพันธมิตรอีกรายที่ Apple ยอมให้มีการจำกัดการเข้าถึงเนื้อหาบางส่วน ซึ่งการมีเงื่อนไขแบบนี้อาจจะทำให้ลูกค้าไม่ยอมจ่ายค่าสมัครก็ได้

นี่คือการเปลี่ยนแผนของ Apple ที่ไม่ได้ขายเพียงฮาร์ดแวร์อีกต่อไป แต่จะทำการพ่วงบริการต่างๆ เข้าไป เพื่อหารายได้จากคนที่ใช้เครื่องของ Apple อยู่แล้ว ความหวังคือไม่ต้องเร่งออกฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ แต่หันไปเก็บเม็ดเงินจากสาวกที่ใช้งานอยู่แล้ว แต่การเปิดตัวแบบอะไรก็ไม่ชัดเจนแบบนี้น่าจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี และคาดว่าการทำตลาดเรื่องนี้ช่วงแรกจะอยู่ในอเมริกาเท่านั้น

ส่วนบ้านเรากว่าจะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ก็คาดว่าต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ซึ่งไม่น่าจะได้เห็นกันในปีนี้ รอให้บริการต่างๆ ที่เปิดใหม่ไปได้ดีในอเมริกาก่อน แล้วบ้านเราถึงจะได้ใช้งานกัน นอกจากซื้ออุปกรณ์ราคาแพงแล้ว เรายังต้องเสียงเงินค่าสมัครบริการต่างๆ เพิ่มขึ้นอีก เหล่าสาวก Apple พวกคุณยอมจ่ายกันไหม

เรื่องที่เกี่ยวข้อง