เฮ้ย! มองโลกในแง่ดีหน่อยสิเพื่อน มันเหลือตั้งครึ่ง นั่นแหละเป็นจุดเปลี่ยน ที่ทำให้คิดได้ เพราะถ้าคิดไม่ได้ คงนอนให้พ่อให้แม่ป้อนข้าวมาจนถึงทุกวันนี้: เกษราภรณ์ หลวงจันทร์
รายการ The Stronger ฅนหัวใจแกร่ง ครั้งนี้ พาไปพบกับคุณเกษราภรณ์ หลวงจันทร์ หญิงแกร่งวัย 47 ปี ที่สามารถเปลี่ยนรอยแผลที่เกิดจากอุบัติเหตุเมื่อ 20 ปีก่อนจนทำให้ขาพิการ มาเป็นแรงผลักดัน ให้สามารถสร้างคุณค่าสู่สังคมได้อีกครั้ง
คุณเกษราภรณ์ เล่าย้อนไปเมื่อปี 2541 ช่วงที่โดนรถชน ขณะนั้นเธอเป็นหัวหน้าแผนก อยู่ที่เซ็นทรัลวงศ์สว่าง ประมาณ 2 ทุ่ม หลังจากเลิกงาน เธอกำลังจะไปหาลูกค้าต่อ แต่ขณะขับรถอยู่ มีรถอีกคันพุ่งมาชนด้านหลัง เธอจึงขับไปกระแทกกับฟุตปาธ และหลังจากฟื้นขึ้นมา โลกของเธอก็ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เพราะเธอไม่สามารถแม้แต่ลุก หรือยืนได้
ช่วงแรกคุณเกษราภรณ์ใช้ชีวิตแบบหมดอาลัยตายอยาก แต่ยังมีครอบครัวที่คอยเอาใจใส่ดูแล อยากกินอะไร หรืออยากไปเที่ยวไหน พี่น้องก็ทำให้ จนสะท้อนใจว่าตอนเรียนจบ ไปทำอะไรที่กรุงเทพฯ ทำไมถึงไม่อยู่กับครอบครัว
หลังจากเธอพยายามรักษาตัวมากว่า 3 ปี จนเข้าปีที่ 4 จุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้น เพราะเหลือบไปเห็นโฆษณาเหล้าแบรนด์หนึ่ง ซึ่งเนื้อหาบอกเล่าเกี่ยวกับเพื่อนที่นั่งดื่มเหล้ากัน หลังจากนั้นเพื่อนที่เข้ามาใหม่ ก็มองมาที่ขวดเหล้า แล้วพบว่าเหลืออยู่เพียงครึ่งขวด จนพูดขึ้นว่า พวกแกกินหมดตั้งครึ่ง แต่เพื่อนอีกคนก็ลุกขึ้นมารับพร้อมตบไหล่ แล้วบอกว่าเฮ้ย! มองโลกในแง่ดีหน่อยสิเพื่อน มันเหลืออีกตั้งครึ่ง
คุณเกษราภรณ์ มองว่าการตบไหล่ถือเป็นความอบอุ่นที่เธอสัมผัสได้ จึงฉุกคิดขึ้นว่า เออใช่!มันเหลืออีกตั้งครึ่ง เลยลุกขึ้นอีกครั้ง พร้อมลิสต์ว่า เมื่อก่อนเราความสามารถขนาดไหน ผ่านอะไรมาบ้าง เราไม่ใช่ตัวคนเดียว มีเพื่อนฝูง มีคอนเน็คชั่น เสร็จแล้วจึงโทรหาเพื่อน ขอคำแนะนำ ที่จะนำเงินส่วนที่เหลือไปยอดธุรกิจ ซึ่งก็ได้ไปลงทุนทำครีม และธุรกิจนำเข้าบ้าง จนผ่านไป 7 ปี ทำให้เธอมีเงินเก็บระดับหนึ่ง จึงนำมาต่อยอดเป็นกลุ่มล้อไม้เฟอร์นิเจอร์ พร้อมสร้างงานสร้างอาชีพให้กับคนพิการที่อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น ซึ่งรวมกลุ่มก่อตั้งมาช่วงปลายปี 55 เริ่มจากสมาชิก 5 คนที่เป็นคนนั่งวิลแชร์ทั้งหมด มาถึงปัจจุบันนี้ กลุ่มล้อไม้เฟอร์นิเจอร์มีสมาชิกทั้งหมด 13 คน
สำหรับเฟอร์นิเจอร์ที่ทำอยู่ ส่วนมากเราจะทำตามออเดอร์ของลูกค้า เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ การทำงานช่วงแรก มีอุปสรรคคือ ไม่มีงบที่จะมาซื้อเครื่องไม้ และเครื่องมือที่ทันสมัย บวกกับต้องทำงานในเพิง เพราะไม่มีโรงงานเป็นหลักแหล่ง เมื่อฝนตกมาก็ทำให้เปียกแฉะ และการเป็นคนพิการก็จะมีความเปราะบางด้านจิตใจ เช่น หนักไม่เอาเบาไม่สู้ เพราะไม่มีแรงบันดาลใจ เธอจึงค่อยๆปรับจูนทัศนคติเรื่อยมา จนทุกวันนี้สามารถแบ่งงานได้อย่างชัดเจน และอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข เพราะเธอจะพูดเสมอว่า การทำงาน อย่าเอาเงินเป็นที่ตั้ง ให้เกียรติกันไว้ใจกัน แล้วทุกอย่างมันก็จะรันไปเอง
กลุ่มล้อไม้เฟอร์นิเจอร์ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทโอสถสภาในลักษณะการทำเป็น CSR เป็นหลัก ด้านการให้ความช่วยเหลือจากภาครัฐ อยากเข้ามาช่วยเหลือที่ตรงจุดตรงประเด็นมากขึ้น เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการจัดพัฒนาอาชีพ หรือฝึกอบรม แทนที่จะมาสร้างอาชีพให้คนพิการอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงแค่ให้เงินไปสร้างอาชีพแล้วจบไป แต่ไม่มาเจาะลึกเรื่องอื่นๆ เช่น การตลาด ที่จำเป็นต้องมีตลาดรองรับให้เขาด้วย
สุดท้ายคุณเกษราภรณ์ ฝากว่า อยากให้คนปกติมองพวกเราให้เป็นทั่วไป ไม่ใช่ว่ามองมีความคนพิการแล้วก็ อยากช่วยเหลือตลอดเวลา ส่วนคนพิการเอง ก็อยากให้เปลี่ยนความคิด คือเลิกขอ เลิกรอ เลิกหวัง อย่าคิดว่าชีวิตจะดีกว่านี้ได้ ถ้าคนมาช่วย ซึ่งก็คือ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน เราต้องทำก่อน อย่ารอว่าให้เขาเอาเงินมาให้ก่อน ฉันค่อยทำ ทำก่อนแล้วอะไรมันจะเข้ามาเอง