เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล เดินหน้าฟ้อง กสทช. เรียกเงินคืนต่อ


นางพันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยทีวี จำกัด เจ้าของทีวีดิจิทัล 2 ช่องคือ ไทยทีวีและโลก้า กล่าวว่า แม้มีมาตรา 44 ออกมาปลดล็อกให้ทีวีดิจิทัลสามารถคืนช่องได้ แต่สำหรับบริษัทนั้นไม่เข้าเงื่อนไขมาตรา 44 เนื่องจากได้บอกเลิกสัญญากับ กสทช.ไปแล้วเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2558 และได้ยื่นฟ้อง กสทช.เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558

ดังนั้น บริษัทฯ ยืนยันว่าจะไม่เข้าเงื่อนไข ตามมาตรา 44 ดังกล่าว เพราะบริษัทฯ ได้บอกเลิกสัญญากับ กสทช. ไปแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2558 และได้ยื่นฟ้อง กสทช.เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 ซึ่งศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2561 ว่า กสทช. ผิดสัญญา การดำเนินการของ กสทช.ในการเปลี่ยนผ่านระบบการรับส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์เป็นระบบดิจิตอลเกิดความล่าช้าและไม่เป็นไปตามแผนงานและตามที่ กสทช.ประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้เข้าร่วมประมูล ไม่ว่าจะเป็นการแจกคูปองที่เป็นไปอย่างล่าช้าเป็นเวลาถึง 6 เดือน

นอกจากนี้การประชาสัมพันธ์ทำได้ไม่ทั่วถึง ประชาชนไม่มีความเข้าใจและขาดความเชื่อมั่น รวมทั้งการขยายโครงข่ายเป็นไปอย่างล่าช้า และบริษัทฯ ได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2561 เรียกเงินคืนและค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 1,134,991,689.22 บาท

 

 

 

เหตุเพราะ กสทช.ผิดสัญญาและคำมั่น ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติและปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 กสทช.ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดให้แก่บริษัทไทยทีวี และการที่มีกระแสข่าวว่าบริษัทไทยทีวีจะฉวยโอกาสเอี่ยว รับการเยียวยา ตาม มาตรา 44 บริษัทฯ ขอยืนยันอีกครั้งว่า บริษัทฯ ไม่อยู่ในเงื่อนไขที่จะได้รับการเยียวยา เพราะบริษัทฯ เลิกสัญญาไปแล้วเนื่องจาก กสทช. ผิดสัญญา บริษัทฯ จึงยืนยันว่าจะดำเนินคดีต่อไปจนกว่าจะสิ้นสุด

 

 

แต่หากทาง กสทช.ต้องการที่จะเจรจาไกล่เกลี่ย โดยใช้มาตรา 44 เทียบเคียงในการกำหนดค่าเสียหาย เป็นหน้าที่ของทาง กสทช. ที่จะพิจารณาชดใช้ค่าเสียหายที่เหมาะสมและเป็นธรรมแก่บริษัทต่อไป