ไขข้อสงสัย “กินทุเรียนแล้วอ้วน” อาจเป็นความเข้าใจผิดของคนไทย


คนไทยถูกหลอกมาตลอด ว่ากินทุเรียนแล้วอ้วน กินทุเรียนแล้วเป็นเบาหวาน แต่มีงานวิจัยทั้งไทยและเมืองนอกรับรองว่า ทุเรียนคือราชาแห่งผลไม้ ที่มีประโยชน์มากมาย

ถือเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อลือชาอย่างมากสำหรับ “ทุเรียน” ที่ประเทศไทยก็ช่างเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ เพราะถึงหน้าทุเรียนคราใดก็จะมีมาขายให้คนที่ชื่นชอบได้หากิน และสร้างเม็ดเงินสร้างกำไรให้เกษตรกรชาวสวนและพ่อค้าไปไม่น้อยทีเดียว

แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่คิดว่า “ทุเรียน” ไม่ได้สร้างประโยชน์อันใดให้กับร่างกาย อีกทั้งหากกินไปแล้วก็รังแต่จะมีผลเสียอีกด้วย แต่ในแง่ความเป็นจริงแล้ว การกินทุเรียนหรือแม้แต่อาหารทุกชนิด ผลไม้ทุกประเภท หากกินเข้าไปเกินปริมาณที่เหมาะสม หรือกินอย่างบ้าคลั่ง ก็เป็นอัตรายทั้งหมด

วันนี้เรามาดูกันว่า เจ้า “ทุเรียน” นั้นยังพอหลงเหลือประโยชน์อันใดไว้บ้างหรือไม่ เพื่อลบล้างความผิดของมันที่ถูกตราหน้าเอาไว้ ทั้งกินแล้วอ้วน กินแล้วเสี่ยงโรคร้ายต่างๆ ตามมา เพื่อไขความกระจ่างกันอีกครั้ง

ประโยชน์ของทุเรียน

1. ช่วยฆ่าเชื้อ จาก กำมะถันในเนื้อเป็นเสมือนยาปฏิชีวนะอ่อนๆ เป็นเสมือนยาถ่ายพยาธิ

2. ช่วยเผาผลาญความร้อนของกำมะถัน ทำให้ช่วยเปาผลาญไขมัน จึงช่วยลดความอ้วนได้

3. ช่วยระบายจากกากที่เป็นเส้นใยยุ่บยั่บในเนื้อของทุเรียน จึงช่วยขัดล้างลำไส้ได้อย่างดีเยี่ยม

4.มีสารแอนตีออกซิเดนซ์ และวิตามินอีสูง จึงช่วยป้องกันมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม ลดไขมัน ลดคลอเรสเตอรอล ต้านความแก่ได้ด้วย

5.แม้ทุเรียนจะมีไขมันมากก็ตาม ถ้ากินแต่พอดี ก็จะได้ไขมันชนิดดีที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย

6. ทุเรียนมีฟอสฟอรัส ที่ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย

7. เนื้อทุเรียนมีโพแทสเซียมสูง ช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานที่แข็งแรง

8. ทุเรียนมีประโยชน์ ลดผมขาว ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีวิตามินบี 9 สูง ช่วยชะลอการเกิดผมหงอก ผมขาวได้

9. ช่วยบำรุงผิว เนื้อและเปลือกของทุเรียนสามารถแก้โรคผิวหนัง และทำให้สีผิวเสมอกัน

 

 

วิธีกินทุเรียน

เริ่มกินหลังตื่นนอนตอนเช้า ช่วงเวลา 05.00-07.00 น

กินครั้งละไม่เกิน 2-3 พู เท่ากับ 4-6 เม็ด หรือเกือบครึ่งลูกกินได้ทุกพันธุ์

หลังจากนั้นให้ดื่มน้ำอุ่นตาม คำแนะนำควรงดอาหารเช้าของวันนั้น และกินติดต่อกันเป็นเวลา 2 วัน เพราะความร้อนจาก สารกำมะถันและเส้นใยในทุเรียนจะไปช่วยชะล้าง สิ่งสกปรกต่างๆภายในลำไส้ และ ยังช่วยทำให้ร่างกายสดชื่นอีกด้วย อาจกิน 2 พูแทนข้าวมื้อเย็นก็ได้

 

 

คุณค่าทางโภชนาการของเนื้อทุเรียนต่อ 100 กรัม

• พลังงาน 174 กิโลแคลอรี
• คาร์โบไฮเดรต 27.09 กรัม
• เส้นใย 3.8 กรัม
• ไขมัน 5.33 กรัม
• โปรตีน 1.47 กรัม
• วิตามินเอ 44 หน่วยสากล
• วิตามินบี 1 0.374 มิลลิกรัม 33%
• วิตามินบี 2 0.2 มิลลิกรัม 17%
• วิตามินบี 3 1.74 มิลลิกรัม 7%
• วิตามินบี 5 0.23 มิลลิกรัม 5%
• วิตามินบี 6 0.316 มิลลิกรัม 24%
• วิตามินบี 9 36 ไมโครกรัม 9%
• วิตามินซี 19.7 มิลลิกรัม 24%
• ธาตุแคลเซียม 6 มิลลิกรัม 1%
• ธาตุเหล็ก 0.43 มิลลิกรัม 3%
• ธาตุแมกนีเซียม 30 มิลลิกรัม 8%
• ธาตุแมงกานีส 0.325 มิลลิกรัม 15%
• ธาตุฟอสฟอรัส 39 มิลลิกรัม 6%
• ธาตุโพแทสเซียม 436 มิลลิกรัม 9%
• ธาตุโซเดียม 2 มิลลิกรัม 0%
• ธาตุสังกะสี 0.28 มิลลิกรัม 3%

ทีนี้มาดูกันว่า ผู้ป่วยโรคใดไม่ควรกินทุเรียน

1. ผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่ควรกินทุเรียน เพราะทุเรียนมีแป้งและน้ำตาลสูง
2. ผู้ที่เป็นโรคหอบหืด หากกินทุเรียนในปริมาณมากจะทำให้จุก แน่น หายใจติดขัด
3. ผู้ป่วยโรคความดันสูง ไม่ควรกินทุเรียนมากเนื่องจากจะทำให้แน่นท้อง หายใจไม่ออกเช่นเดียวกับโรคหอบหืด
4. ผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน ไม่ควรกินทุเรียนมากเนื่องจากจะทำให้เกิดอาการแน่นท้อง
5. ผู้ป่วยโรคหัวใจ ไม่ควรกินทุเรียนเนื่องจากในทุเรียนมีกำมะถันสูง
6. ผู้ป่วยโรคเกาต์ไม่ควรกินทุเรียนที่สุกงอม หรือหวานจัดมากเกินไปเนื่องจากส่งผลต่อความดันเลือด
7. ผู้ป่วยโรคไต ไม่ควรกินทุเรียนเนื่องจากในทุเรียนมีโพแทสเซียมสูง

 

 

จากความสุข ความอร่อย จะกลายเป็นความทุกข์จากการกินทุเรียน

เนื่องจากทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงและยังอุดมไปด้วยไปด้วยไขมันและกำมะถัน ผลไม้ชนิดนี้จึงไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน เพราะหากรับประทานอาจจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้รู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว ทำให้เกิดร้อนในอีกด้วย และสำหรับบุคคลทั่วไปควรจะบริโภคแต่น้อย

อีกทั้งยังมีความเชื่อโบราณที่ห้ามให้หญิงตั้งครรภ์หรือผู้ที่มีดันโลหิตสูงรับประทานทุเรียน และไม่ควรรับประทานทุเรียนร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือกาแฟ เพราะเป็นของร้อนทั้งคู่

ได้รู้ทั้งประโยชน์ และโทษของทุเรียนไปแล้ว ก็หวังว่าผู้ที่โปรดปรานความหอมมันของทุเรียนจะพึงกินอย่างระวัง และกินอย่างพอดี เพื่อไม่ให้ทุเรียนของโปรดมาส่งผลเสียต่อร่างกายได้ เพราะกินพอดีๆ ก็จะได้ประโยชน์ไป แต่ถ้ากินแบบไม่รู้จักพอก็จะได้รับโทษจากทุเรียน ส่วนผู้ที่เป็นโรคตามที่กล่าวไปข้างต้นก็ควรเลี่ยง หรือกินทุเรียนให้น้อยลง