สิงคโปร์ ครองอันดับ 1 ประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงสุดในโลกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2553 จากรายงานการจัดอันดับ IMD World Competitiveness Rankings โดยโค่นแชมป์เก่าอย่างสหรัฐอเมริกา
สิงคโปร์ผงาดครองแชมป์โดยได้รับแรงหนุนจากโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า แรงงานที่มีทักษะสูง กฎหมายคนเข้าเมืองที่เอื้ออำนวย และวิธีการตั้งธุรกิจใหม่ที่มีประสิทธิภาพ
ส่วนฮ่องกงตามมาเป็นอันดับ 2 ด้วยนโยบายทางธุรกิจและภาษีที่เอื้ออำนวย และการเข้าถึงเงินทุนในการทำธุรกิจ
ด้านสหรัฐหล่นลงมาอยู่อันดับ 3 โดยรายงานระบุว่า ความเชื่อมั่นที่เกิดจากนโยบายภาษีระลอกแรกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลดน้อยถอยลงไป แม้ว่าสหรัฐยังคงเป็นผู้นำของโลกด้านโครงสร้างพื้นฐานและสมรรถนะทางเศรษฐกิจ แต่ความสามารถในการแข่งขันของประเทศก็ได้รับผลกระทบจากราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น การส่งออกสินค้าไฮเทคที่ลดลง และค่าเงินดอลลาร์ที่ผันผวน
IMD World Competitiveness Center ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยที่ทำการจัดอันดับรายงานว่า “สำหรับปีที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนในตลาดโลก อันเป็นผลมาจากสถานการณ์ทางการเมืองและความสัมพันธ์ทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ ดูเหมือนว่าคุณภาพของภาคสถาบันจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศ กรอบการทำงานที่แข็งแกร่งของภาคสถาบันสร้างความมั่นใจให้ภาคธุรกิจลงทุนและพัฒนานวัตกรรม รวมถึงสร้างหลักประกันว่าประชาชนจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”
บรรดานักเศรษฐศาสตร์มองว่าความสามารถในการแข่งขันมีความสำคัญต่อสุขภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาวของแต่ละประเทศ เนื่องจากช่วยให้ภาคธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ช่วยสร้างงาน และยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน