สืบเนื่องจากกรณีการเสียชีวิตของ น้ำตาล-บุตรศรัณย์ ทองชิว เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ที่ผ่านมานั้น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ส่องกล้องดูบริเวณหลังโพรงจมูก พบว่า บริเวณเยื่อบุหลังโพรงจมูกมีสีผิดปกติไปจากปกติ จึงตัดชิ้นเนื้อบริเวณดังกล่าว นำไปตรวจวินิจฉัยทางพยาธิวิทยาหาสาเหตุการเสียชีวิต ระหว่างตัดชิ้นเนื้อก็ยังพบว่ามีเลือดไหลออกมา จากผลการตรวจชิ้นเนื้อบ่งชี้ว่ามีเชื้อวัณโรคหลังโพรงจมูก ซึ่งในกรณีนี้มีโอกาสติดต่อกันได้น้อย
ทั้งนี้ กรณีของ น้ำตาล ซึ่งมีเลือดออกทางจมูกและปากเป็นจำนวนมากขนาดนี้ ยังไม่เคยพบรายงานในผู้ป่วยทั่วไปจากทั่วโลก เพิ่งเกิดกรณีลักษณะนี้เป็นครั้งแรก ซึ่งวัณโรคนั้น เป็นโรคที่อาจจะไม่แสดงอาการอะไรออกมาเลยก็ได้ ทำให้ไม่สามารถวินิจฉัย หรือตรวจพบได้ในทันที รวมถึงระยะเวลาการฟักตัวของโรคก็ยังไม่สามารถบอกได้ในผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งในกรณีของน้ำตาล ก็ไม่สามารถบอกได้เช่นกันว่าได้รับเชื้อมาตั้งแต่เมื่อใด หลายครั้งผู้ป่วยหลายรายที่มา แพทย์จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งเป็นส่วนใหญ่
สำหรับวัณโรคหลังโพรงจมูกพบได้น้อยกว่าร้อยละ 1 ของวัณโรคที่พบนอกปอด อีกทั้งวัณโรคสามารถเป็นได้ตามอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกาย สำหรับวัณโรคหลังโพรงจมูกรายงานทางการแพทย์ทั่วโลกพบว่าผู้ป่วย 1 ใน 3 อาจไม่มีอาการใด ๆ และประมาณร้อยละ 70 มีต่อมน้ำเหลืองที่คอโตหรือมีก้อนบริเวณหลังโพรงจมูก การวินิจฉัยวัณโรคหลังโพรงจมูกจึงมักได้จากการตรวจชิ้นเนื้อที่ก้อนหรือต่อมน้ำเหลือง
ข้อควรหลีกเลี่ยง
1.งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้ยาอื่นๆ ที่ไม่จำเป็นเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับอักเสบจากยาและผลข้างเคียงอื่นๆ
2.ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางในที่สาธารณะที่มีผู้คนแออัด เช่น โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า หรือการเดินทางด้วยยานพาหนะร่วมกับผู้อื่นเป็นเวลานานเกิน 8 ชั่วโมงขึ้นไป
3.ควรหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ในระหว่างรักษาวัณโรค เลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเอสโตรเจน เพราะจะทำให้การคุมกำเนิดไม่ได้ผล
ข้อแนะนำ
1. อุบัติการณ์ของวัณโรคในประเทศไทยยังไม่ลดลง สามารถเกิดได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย และสามารถเกิดขึ้นได้ในหลากหลายอวัยวะ
2. ควรตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี หากพบสิ่งผิดปกติใดๆ จำต้องสืบค้นจนพบสาเหตุของความผิดปกตินั้น
3. แม้การตรวจร่างกายจะปกติ แต่หากมีอาการผิดปกติระยะเวลาหนึ่ง เช่น น้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุ เบื่ออาหาร มีไข้ต่ำๆ คลำได้ก้อนผิดปกติ ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ