อย่าท้อ เมื่อเรามีโอกาสทำงาน แล้วก็ได้มีเงิน แต่ถ้างานที่เราทำ เราไม่ชอบ ก็ไม่เป็นไร เราต้องเดินหางานที่ใช่ และก็ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองว่าเราไปทำงานที่ไหน เรามีความสุข ก็ขอให้ทำงานที่นั่น แล้วก็ให้รักตัวเองด้วย: ปิยะพร ศิลปาจารย์
รายการ The Stronger ฅนหัวใจแกร่ง ครั้งนี้ พบกับคุณปิยะพร ศิลปาจารย์ ผู้พิการทางการได้ยินตั้งแต่กำเนิด แต่เธอไม่เคยท้อถอยต่ออุปสรรค พร้อมฝึกพูด และฟัง จากเครื่องช่วยฟังมาตั้งแต่เด็ก ทำให้สามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป ปัจจุบันเธอมีส่วนสำคัญที่สร้างรายได้มาจุนเจือครอบครัว และมีความสามารถหลากหลายด้าน นำมาซึ่งรางวัลบุคคลพิการตัวอย่างประจำปี 2558 จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
คุณปิยะพร เล่าว่า ตอนคลอดออกมาเธอครบถ้วนสมบูรณ์ทุกอย่าง จนถึง 8 เดือน พูดไม่ได้เลย เพราะไม่ได้ยิน ครอบครัวเลยพาไปที่โรงพยาบาลจุฬาฯ คุณหมอบอกว่า เสียใจด้วย น้องพิการทางการได้ยินมาตั้งแต่กำเนิด คุณหมอเลยช่วยแนะนำให้ไปเรียนที่โรงเรียนการศึกษาพิเศษสำหรับคนหูหนวกโดยเฉพาะ ที่โรงเรียนลอออุทิศที่ราชภัฏสวนดุสิต และใส่เครื่องช่วยฟังตั้งแต่ 4 ขวบ เลยทำให้เริ่มได้ยินมาตั้งแต่ตอนนั้น
พอเริ่มโต รู้สึกน้อยใจมากว่าทำไมเราไม่ได้ยินเหมือนคนอื่น แล้วก็อายเพื่อน เพราะเพื่อนชอบล้อ ชอบแกล้ง ทำให้ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง บางทีร้องไห้ไม่อยากไปโรงเรียน จนครูให้ไปนั่งข้างหน้าใกล้ๆครู และบอกกับเพื่อนนักเรียนทุกคนว่า ตัวเราเป็นคนพิการทางการได้ยินนะ ให้รักกัน ช่วยกัน อย่าแกล้ง อย่าล้อ เพื่อนๆ เลยเข้าใจคนพิการมากขึ้น ส่วนเราก็สามารถปรับตัวเข้ากับสังคม กับคนปกติได้ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่เองก็ให้กำลังใจเราตลอด ทั้งเรื่องเรียน การใช้ชีวิตประจำวัน และการช่วยเหลือตัวเอง ต่อมาครูก็คอยผลักดันเพื่อสร้างความมั่นใจให้เรา เช่นการเป็นนางแบบ เดินแบบ เป็นเชียร์ลีดเดอร์ระดับประเทศ เต้นลีลาศระดับประเทศ ก็ยิ่งทำให้เราเข้มแข็งมากขึ้น
หลังเรียนจบปริญญาตรี ทางด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร ตอนแรกหางานยากมาก เพราะสมัยก่อนรัฐบาลยังไม่มีนโยบายช่วยคนพิการทำงาน เลยทำงานกับพี่สาวที่เป็นนักกีฬาทีมชาติเทควันโด เป็นการเรียนไปด้วยและสอนนักเรียนไปด้วย ตั้งแต่บ่าย 3 – 6 โมงเย็น ส่วนช่วงเช้าจะว่าง เลยลองโทรไปถาม Starbucks เพื่อขอสมัครงาน Part Time ซึ่งเขารับ ช่วงนั้นก็ได้ทำงาน 2 ที่ ทำให้มีเงินเก็บ และสามารถผ่อนเครื่องช่วยฟังที่มีราคาแพงได้
จนที่ผ่านมาก็ได้รับรางวัลคนพิการต้นแบบประจำปี 2558 ของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แล้วก็รางวัลคนพิการตัวอย่างประจำปี 2558 ของสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นรางวัลที่สูงสุดของชีวิต
ปัจจุบันทำงานอยู่ที่โรงแรมดับเบิ้ลยู กรุงเทพฯ ตำแหน่ง Stylish Public Area คือการทำความสะอาดบริเวณทั่วไป ถือเป็นงานบริการลูกค้า ในแต่ละวันนะ ก็ทำความสะอาด กวาดพื้น ถูพื้น แล้วก็ดูดฝุ่น เช็ดฝุ่น เช็ดกระจก แล้วก็มีไปช่วยทำห้องบ้าง ซึ่ง 1 ปี 4 เดือนที่ทำมา เราสามารถเรียนได้หมด เรามองว่าสวัสดิการดีด้วย มีอาหารฟรี ได้มียูนิฟอร์มฟรี เราก็เลยตัดสินใจมาสมัครที่นี่ ถึงเราเรียนจบปริญญาตรี ไม่ว่าอาชีพอะไรเราก็ทำได้ โรงแรมเขามีตำแหน่งให้เราตามความเหมาะสมกับคนพิการ เกิดมามันเลือกอาชีพไม่ได้แต่ขอให้มีความสุขก็พอแล้ว และเราก็เป็นคนที่ชอบทำความสะอาดอยู่แล้ว ก็เหมือนทำความสะอาดบ้าน ตอนทำ Starbucks ก็เคยเปิดร้าน ทำความสะอาด เช็ดโต๊ะก็เหมือนกัน เพราะสักวันหนึ่งอนาคต ถ้าเราเป็น Supervisor เราจะสามารถสอนคนต่อๆไปได้
แรกๆก็ปรับตัวนานเหมือนกัน เพราะว่าอย่างที่เพื่อนร่วมงานเขาไม่เคยคุยกับเรา บางทีเขาพูดเร็วบางทีก็พูดช้า หรือบางคนพูดเป็นภาษาคนอีสานเราก็ฟังไม่ออก บางทีเขาก็มองว่า ทำไมเราฟังแล้วก็ไม่ตอบ เราก็เลยเข้าไปขอคุย แล้วบอกว่าเราไม่ได้ยิน เพื่อนร่วมงานก็เลยปรับตัวด้วย แล้วเราก็ปรับตัวด้วย เลยทำให้เราอยู่ด้วยกันมีความสุข
สำหรับการเข้าถึงสิทธิ์และสวัสดิการของภาครัฐตอนนี้ ได้เบี้ยคนพิการเดือนละ 800 บาท ได้ขึ้นรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน รถเมล์ด่วน เรือด่วน และได้รักษาพยาบาลฟรี สามารถเบิกเครื่องช่วยฟังได้
ส่วนการที่คนพิการจะเป็นแรงขับเคลื่อนสังคมได้ เราต้องเหมือนคนปกติให้ได้ก่อน คนพิการมีความตั้งใจสูง ความอดทนสูง ไม่ใช่ว่าเขาทำไม่ได้ เขาอยากทำ การที่เขามีพิการทางหู การพูด พูดไม่ได้ เขาก็มีวิธีอย่างอื่น ที่เขามีความสามารถ เพราะเขาต้องดิ้นรนช่วยเหลือตัวเอง
สุดท้าย อยากบอกว่า ไม่ว่าคนพิการอะไรก็แล้วแต่ อยากให้ทุกคนสู้ ไม่ยอมแพ้ เราต้องก้าวไปข้างหน้า มีคนแย่กว่าเราอีกเยอะ อยากให้รู้ว่าเมื่อเราได้มีโอกาสทำงาน แล้วก็ได้มีเงิน ไม่อยากให้ท้อ แต่ถ้างานที่เราทำ เราไม่ชอบ ก็ไม่เป็นไร เราต้องเดินหางานที่เราใช่ และก็ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองว่า เราไปทำงานที่ไหน เรามีความสุข ก็ขอให้ทำงานที่นั่น แล้วก็ให้รักตัวเอง ไม่ว่าเราเป็นพิการอะไร เราต้องยอมรับ เราอย่าไปคิดว่าตัวเองบกพร่อง