The Stronger ฅนหัวใจแกร่ง EP.24 ธนารี ฟุ้งภิญโญภาพ ผู้พิการใฝ่เรียนรู้


บางทีมีคนเหมือนจะให้เงินเรา พ่อก็จะบอกไปว่าไม่ใช่ แล้วก็ให้เราปฏิเสธว่าไม่ใช่ เราไม่ได้เป็น เราไม่ได้มานั่งอะไรอย่างนี้ แค่มานั่งรอพ่อเฉยๆ ซึ่งเราโชคดีมากที่มีพ่อที่รัก เมตตา และคอยสอนให้เราเข้มแข็ง: ธนารี ฟุ้งภิญโญภาพ

 

รายการ The Stronger ฅนหัวใจแกร่ง ครั้งนี้ พาไปที่จังหวัดชลบุรี เพื่อพบกับคุณธนารี ฟุ้งภิญโญภาพ ผู้พิการทางการเคลื่อนไหวตั้งแต่กำเนิด แต่เธอไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค หรือน้อยใจโชคชะตา แต่เอามาเป็นแรงผลักดันให้ฮึดสู้ และสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ ไม่ต่างกับคนปกติทั่วไป ความขยันหมั่นเพียร มุ่งมั่นตั้งใจทำงาน ส่งผลให้เธอถูกชื่นชม และเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดีในการสู้ชีวิต ที่มีความสุขไม่น้อยกว่าคนปกติทั่วไป

คุณธนารี เล่าว่า ตนเองพิการทางด้านร่างกายมาตั้งแต่กำเนิด แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแตกต่างจากเพื่อน หรือคนอื่นๆ เพราะตอนเด็กโชคดีที่คุณพ่อพาไปโรงบาลศิริราช ตอนนั้นได้เจอกับคุณหมอท่านหนึ่ง ท่านได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับกายอุปกรณ์ เพราะตอนแรกคิดจะไปใส่แขนขาเทียม แต่คุณหมอบอกว่า ต้องทำความเข้าใจก่อนว่ากายอุปกรณ์ เป็นเพียงภาพลักษณ์ที่ทำให้ดูดีขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าการใช้งานจะดีจริง สิ่งสำคัญอยู่ที่จิตใจ ทำอย่างไรให้เขายอมรับกับสายตาที่คนมองได้ โดยที่เขาไม่รู้สึกแปลกแยกแตกต่างจากคนอื่น ตรงนั้นต่างหากที่สำคัญ แล้วพอโตขึ้นเขาจะไม่อยากใส่แขนขาเทียมเพราะการใส่ขาเทียมจะต้องทำกายภาพบำบัดอย่างน้อย 6 เดือน แล้วก็ต้องปรับเปลี่ยนไซส์ไปตามวัย

หลังจากนั้น คุณพ่อก็พยายามใส่ความคิดนี้ให้กับเรา และพาไปทุกที่ที่มีคนเยอะ เช่น ร้านอาหาร ไปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แล้วก็บอกเสมอว่าไม่ต้องไปเกรงกลัวสายตาใคร ไม่ต้องไปอายใคร เราไม่ได้มาขออะไรใคร เพราะฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องอาย ไม่จำเป็นต้องแคร์ ให้ลูกใช้ชีวิตอย่างคนปกติ

ซึ่งเมื่อก่อนนี้ไม่ได้มีรถวีลแชร์ และต้องเดิน เดินจนหัวเข่าด้าน ถึงใครจะมองมา และบางทีมีคนเหมือนจะให้เงินเรา พ่อก็จะบอกไปว่าไม่ใช่ แล้วก็ให้เราปฏิเสธว่าไม่ใช่ เราไม่ได้เป็น เราไม่ได้มานั่งอะไรอย่างนี้ แค่มานั่งรอพ่อเฉยๆ ซึ่งโชคดีมากที่มีพ่อที่รัก เมตตา และคอยสอนให้เราเข้มแข็ง พ่อจะบอกเสมอว่าให้เราภูมิใจในตัวเรา ถึงแม้ว่าเราจะเกิดมาเป็นแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้ทำตัวเป็นภาระให้ใคร เพราะเราสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ทุกอย่าง

ส่วนเรื่องการเรียน ก็ไม่ได้เข้าระบบการศึกษาเหมือนเด็กทั่วไป เพราะพ่อไม่อยากให้เราไปอยู่โรงเรียนประจำแบบนั้น เลยเลือกที่จะจ้างครูพิเศษมาสอนที่บ้านวันละ 2 ชั่วโมง ก็สอนจนอ่านออกเขียนได้ จนอายุประมาณ 18 -19 ก็เลือกไปเรียน กศน.ตอนนั้นได้โทรศัพท์ไปสอบถามก่อน ซึ่งเขาก็กังวลว่าเราเป็นคนพิการที่ไม่มีนิ้วมือนิ้วเท้าแล้วจะหยิบจับยังไง กระทั่งหัวหน้ากศน. เขตราษฎร์บูรณะในขณะนั้นมาสัมภาษณ์ที่บ้าน แล้วตัดสินใจรับเข้าเรียน แต่ให้สอบเทียบก่อน และได้เริ่มเรียนตั้งแต่ม.3 พร้อมได้รับการสนับสนุนไม่ต้องเสียค่าเทอม จนเรียนจบ ม. 6 ภายใน 3 ปี

หลังจากนั้น ชีวิตก็พลิกผัน เพราะคุณพ่อเสียชีวิตเมื่อปี 2543 และมีคนมาแนะนำให้รู้จักกับโรงเรียนอาชีวะมหาไถ่พัทยา ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนวิชาชีพให้กับคนพิการ จึงเลือกเรียนในแผนกหลักสูตรคอมพิวเตอร์ และการจัดการธุรกิจภาคภาษาอังกฤษ เป็นหลักสูตร 2 ปีเทียบเท่าระดับ ปวส. จากพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็พูดได้ อ่านออกเขียนได้ สามารถสื่อสารเข้าใจ และเรียนต่อปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช คณะนิเทศศาสตร์ จนจบในเวลา 3 ปีครึ่ง

ปัจจุบันทำงานบัญชีให้ร้านเสริมสวย Heir well ที่ระยอง และ Hair decor ที่พัทยา ซึ่งมีเจ้าของคนเดียวกัน งานที่ทำก็จะลงรายรับ-รายจ่าย ยอดของช่าง เพื่อสรุปรายได้ค่าคอมมิชชั่น และทำเงินเดือนให้กับช่าง เดี๋ยวนี้ก็จะส่งงานผ่านไลน์ และทำสรุปส่งทางอีเมล ทำให้สะดวกสบายมาก และสามารถทำงานอยู่ที่บ้านได้ ส่วนช่วงบ่าย 4 โมง ถึง 2 ทุ่ม ก็มีเวลาไปทำอาชีพเสริมอย่างการขายสลากกินแบ่งรัฐบาล

นอกจากนี้ ยังได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรเพื่อขับเคลื่อนสังคมด้วย เราคิดว่าคนพิการทุกวันนี้สามารถเป็นแรงขับเคลื่อนสังคม หรือช่วยสร้างแรงบันดาลใจได้ มีคำกล่าวที่ว่า 1 แบบอย่างดีกว่า 100 คำสอน บางครั้งเรา ได้เห็นคนที่เขาพยายาม คนที่เขาอาจไม่เหมือนเราแต่เขาทำได้ มันก็จะเป็นพลังใจให้เราลุกขึ้นมาต่อสู้ต่อ นอกเหนือจากนั้น คือกำลังใจที่ต้องมาจากตัวเอง เพราะต่อให้คนร้อยคนมาบอกคุณ แต่ถ้าคุณบอกตัวเองว่า
ไม่ได้ทุกอย่างก็คือจบ วันนี้คุณต้องบอกตัวเองค่ะว่า ฉันทำได้ ฉันอยู่ได้เหมือนคนปกติทั่วไป ทุกปัญหาทุกอุปสรรค มีกันทุกคน แต่อยู่ที่ใครจะมีกำลังใจ มีสติ ที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ได้

สำหรับการเข้าถึงสิทธิ์และสวัสดิการจากทางภาครัฐ ตอนนี้จะมีเป็นเบี้ยยังชีพ 800 บาทต่อเดือน บัตรทองเพื่อรักษาพยาบาล มีให้สัมปทานพื้นที่ค้าขายของคนพิการ ให้ทุนประกอบอาชีพ ซึ่งตอนนี้ก็ได้รับทุนจากโรงพยาบาลกรุงเทพพัทยาอยู่ด้วย ส่วนที่อยากได้เพิ่มเติมจากรัฐก็น่าจะเป็นเรื่องห้องน้ำของคนพิการตามสถานที่ต่างๆ

แม้ความพิการ จะลดศักยภาพของเราลงไปบ้าง เพราะเราคงไม่เทียบเท่ากับคนมีครบ 32 แต่ถ้าเราพยายาม เราก็สามารถทำได้ในแบบของเรา ซึ่งมันอาจไม่เหมือนที่คนทั่วไปทำกัน แต่สุดท้ายมันก็สำเร็จได้เหมือนกัน และอยากฝากว่า คิดดี พูดดี ทำดี แล้วสิ่งดีๆก็จะตามเข้ามาค่ะ