ผมเชื่อว่าทุกการเดินทางของเรา มันก็คือการเรียนรู้ การได้เดินทางออกไปแต่ละทิศ ได้พบปะผู้คน ได้เจอคนดีๆ มีบทสนทนาดีๆ เจอเรื่องราวของคนดีๆ ผมว่า มันคือสิ่งที่หล่อหลอมให้เราเป็นเราในทุกวันนี้: โสภณ ฉิมจินดา
รายการ The Stronger ฅนหัวใจแกร่ง ครั้งนี้ พาไปที่สังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อพบกับคุณโสภณ ฉิมจินดา ผู้พิการทางการเคลื่อนไหวจากอุบัติเหตุไม่คาดคิด แต่ด้วยพลังบวกทำให้ทุกวันนี้เขาสามารถสร้างรอยยิ้ม ให้กับตนเองและคนรอบข้าง พร้อมทำงานเพื่อสังคมอย่างมีความสุข
คุณโสภณ เล่าถึงเหตุการณ์ประสบอุบัติเหตุเมื่อ 16 ปีที่แล้ว กับการเดินทางด้วยการโบกรถ เพราะเป็นคนที่ชอบเที่ยวด้วยการโบกรถ ตอนนั้นโบกรถเพื่อไปจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีอีกภารกิจที่ทำควบคู่กันไปคือการทำงานด้านจิตอาสา เรื่องของการสำรวจทำเรื่องโครงการอาหารกลางวันในพื้นที่ชนบท ตอนนั้นเราตั้งใจว่าจะไปหาโรงเรียนเพื่อทำเรื่องอาหารกลางวันให้ เลยเลือกไปอุ้มผาง ซึ่งอยู่ตะเข็บชายแดนไทยพม่า ระหว่างขอติดรถขึ้นเขาแม่ฮ่องสอน รถที่โดยสารไปด้วยเกิดตกเหว หลังเหตุการณ์นั้นทำให้ร่างกายตั้งแต่ครึ่งล่างลงไปทั้งหมดไม่สามารถใช้งานได้อีกเลย
แต่ความพิการที่ได้รับ กลับทำให้รู้สึกโชคดี เพราะได้เจอมุมมองใหม่ของชีวิต มันทำให้ผมได้เจอโอกาสใหม่ๆ การที่ได้เป็นโสภณ ฉิมจินดา อย่างทุกวันนี้ ที่ได้มีโอกาสทำงานด้านสื่อ ได้เขียนหนังสือ ได้ออกสื่อเยอะแยะ ก็มาจากความพิการที่เกิดขึ้น จึงรู้สึกว่ามันอาจเป็นความโชคดี ของตัวเราเองที่พิการ
ตอนที่อุบัติเหตุที่แม่ฮ่องสอน ได้ถูกส่งตัวมาเชียงใหม่ และมาผ่าตัดต่อที่กรุงเทพฯ แทบทุกรายการจะถามเหมือนกันว่าทำใจนานไหม รักษาตัวยังไง คือ ณ ตอนนั้นถามหมอคำเดียวว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง สิ่งที่หมอบอก ก็คือสิ่งที่เราเห็นในฟิล์มเอกซเรย์ กระดูกไขสันหลังของเรามันถูกฉีกออกไป ซึ่งกระดูกอาจต่อได้ แต่เรารู้อยู่แล้ว คือเส้นประสาทไขสันหลังมันไม่สามารถต่อได้ ในช่วงเวลาเดียวกันที่เราพิการ ที่บ้านก็ล้มละลายไม่เหลืออะไรเลย เมื่อเรากับลบมาเจอกันเราเลยต้องเปลี่ยนมันให้เป็นพลังบวก เพราะถ้ามัวแต่ฟูมฟายอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น คนที่อยู่ข้างหลังหรือคนที่อยู่รอบข้างจะรู้สึกแย่กว่า แล้วมันก็บอกกับตัวเองอัตโนมัติเลยว่า เราต้องพยายามรู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นอะไรนะ มันก็แค่พิการ มันก็แค่เดินไม่ได้ ดังนั้นก็พยายามยิ้มกับมันแล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่า ไม่ได้เป็นอะไร พยายามที่จะเข้มแข็งให้คนรอบๆตัวเรา เขารู้สึกสบายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา
การที่ยังยิ้มได้ กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น กำลังใจที่สำคัญที่เติมเต็มให้กับคนในบ้าน ในบ้านเราเองไม่มีใครร้องไห้ให้ใครเห็น ไม่มีใครทุกข์ให้ใครเห็น ดังนั้นเลยทำให้รู้สึกว่า ทุกคนพร้อมจะเข้มแข็งไปด้วยกัน มันเป็นการที่ช่วยเติมซึ่งกันและกันในช่วงที่เราวิกฤติ เรารู้สึกว่า ช่วงที่แย่ที่สุดมันก็ผ่านมาได้ โดยที่เราไม่ได้รู้สึกอะไรกับมัน
เราเป็นคนที่ชอบเดินทาง ชอบท่องเที่ยวไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเอง แต่วันหนึ่งที่เราตื่นขึ้นมาแล้ว เรากลายเป็นคนพิการที่เดินไม่ได้ คำถามมันจะเกิดขึ้นเยอะมาก โดยเฉพาะคำว่าเราจะทำมาหากินอะไร เพราะมันคือสิ่งสำคัญที่สุด แม้ขาเราใช้ไม่ได้ แต่สมองยังใช้ได้ไหม มือใช้ได้ไหม เราทำอะไรกับมันได้ ตอนนั้นมองว่าตัวเองมีพื้นฐานคือจบด้านถ่ายภาพภาพยนตร์ กับสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือสมองกับสองมือ เราทำคอมพิวเตอร์กราฟิกได้ มันก็เลยค่อยๆขยับมากลายมาเป็นรายการโทรทัศน์ จนทำให้คนรู้จักเรา
งานหลักตอนนี้ คือการผลิตรายการโทรทัศน์ ทำสารคดีให้กับทางช่อง Thai PBS ชื่อรายการกลางเมือง ปลายปีนี้จะมีอีก 1 รายการ เป็นรายการการเดินทางในรูปแบบของคนพิการ ที่แบ็คแพ็ครอบอาเซียน 10 ประเทศ ส่วนอีกงานที่ทำควบคู่กันไปก็จะเป็นงานด้านสังคม อย่างตอนนี้มาอยู่ที่สังขละ ก็มาช่วยฝึกอบรมเรื่องการผลิตสื่อ
คนเราถ้ามันได้เดินในทุกวัน อยู่กับสิ่งที่ตัวเองรัก อยู่กับสิ่งที่ตัวเองชอบในทุกๆวัน ตื่นมาแล้วก็คลั่งไคล้อยู่กับมันได้ตลอดเวลา คงไม่น่าจะมีวันไหนที่เรารู้สึกเบื่อกับมัน อาจจะโชคดีว่าเราสามารถเอาสิ่งที่เราชอบมาเป็นงานให้มันหล่อเลี้ยงชีวิตจริงของเราได้ ละยังหล่อเลี้ยงไปถึงความฝัน เราไม่สามารถตอบในวันข้างหน้าได้ว่าจะเบื่อไม่เบื่อ แต่ ณ วันนี้ ทุกวันนี้รู้สึกว่าพอใจกับมัน
‘ผมเชื่อว่าทุกการเดินทางของเรา มันก็คือการเรียนรู้เนอะ การได้เดินทางออกไปแต่ละทิศ การได้พบปะผู้คน การได้เจอคนดีๆมีบทสนทนาดีๆ เจอเรื่องราวของคนดีๆ ผมว่า มันคือสิ่งที่มาหล่อหลอมให้เราเป็นเราในทุกวันนี้’
ปัจจุบันนอกจากการผลิตรายการโทรทัศน์แล้ว อีกงานที่ทำควบคู่กันไปก็จะเป็นงานด้านสังคม อย่างตอนนี้มาอยู่ที่สังขละบุรี ก็มาช่วยฝึกอบรมเรื่องการผลิตสื่อ ชื่อโครงการอบรมการผลิตสื่อหนังสั้น เพื่อกลุ่มชาติพันธุ์ชนชายขอบ ซึ่งอีกประเด็นที่น่าสนใจของสังขละบุรี คือเรื่องความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ เลยต้องการส่งต่อความรู้เรื่องของการผลิตสื่อให้กับน้องๆ เพื่อจะผลิตสื่อหนังสั้น มันก็เลยเกิดโครงการขึ้นมา และต้องขอบคุณกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ที่ให้การสนับสนุนโครงการนี้
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำ ท้ายสุดมันมาจากโจทย์แค่ว่าทำยังไงให้ตัวเราเองมีความสุข คือเราไม่ได้คิดว่าเราจะทำเพื่อใคร หรือทำเพื่อสังคมหรืออะไร แต่จริงๆท้ายที่สุดแล้ว เราก็แค่ทำตัวเราเองให้มีความสุขแค่นั้นเอง เพราะจากวิกฤติที่เกิดขึ้นกับชีวิต มันทำให้เราไม่ได้มีเป้าหมายอะไรเยอะ เลยบอกกับตัวเองแค่ว่า แต่ละวันที่เราตื่นมาทำยังไงก็ได้ ที่ทำให้ตัวเองได้มีความสุข แล้วก็ยิ้มได้กับตัวเอง จากความคิดแค่นี้ เวลาไปอยู่ร่วมกับคนในสังคม แค่เขาเห็นเรายิ้ม แค่คนพิการคนหนึ่งยิ้มได้ มันก็เหมือนการส่งต่อความสุข และส่งต่อกำลังใจ
วันที่เรารู้สึกว่าเราเดินไม่ได้ ผมบอกตัวเองแค่ว่า เราจะไม่เอาความพิการมาเป็นข้ออ้าง หรือเป็นเงื่อนเงื่อนไขของการใช้ชีวิต ของเราอย่างมีความสุข ดังนั้น เมื่อก่อนเราเป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างไร ณ วันนี้เราเป็นคนที่พิการ เราต้องใช้ชีวิตให้เหมือนเดิมมากที่สุด เมื่อโจทย์ชีวิตของผมอย่างนั้น ผมพยายามที่จะใช้ชีวิตให้เหมือนเดิมมากที่สุด และเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับความพิการของเราให้ได้ ซึ่งผมเชื่อว่าทุกชีวิตสามารถที่จะเดินหน้าต่อไป กับตัวเอง กับความพิการได้
ทุกคนมีปัญหาอยู่กับตัวอยู่แล้ว อยู่ที่เราเลือกที่จะมองกับมันยังไง ผมโชคดีที่มองโลกในแง่บวก และเวลาเกิดปัญหาอะไร ผมจะไม่ค่อยจะเอาตัวเองไปอยู่กับปัญหา เพราะถ้าเรามองแล้ว ว่าเราไม่สามารถปรับเปลี่ยนอะไรได้ ท้ายสุดก็ต้องมาปรับเปลี่ยนที่มุมมองของตัวเราเอง แล้วเวลาจะเป็นตัวค่อยๆทำให้มันดีขึ้น