อยากให้สังคมเปิดโอกาสให้คนพิการได้มีงานทำ ให้เขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยไม่ต้องเป็นภาระ หรือไปพึ่งพาคนอื่น: รุ่งนภา มาลา
รายการ The Stronger ฅนหัวใจแกร่ง ครั้งนี้ ไปที่จังหวัดลำปาง เพื่อพบกับคุณรุ่งนภา มาลา ผู้พิการตาบอด ซึ่งในอดีตเธอสามารถมองเห็นเหมือนกับคนปกติทั่วไป แต่ด้วยเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ทำให้ตาที่เคยมองเห็นค่อยๆ เลือนราง จนช่วงชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยต้องยุติ เพื่อเข้ารับการรักษา แต่อาการกลับรุนแรงขึ้น จนตาทั้ง 2 ข้างมืดบอดลง ในความหวาดกลัวการใช้ชีวิตบนโลกมืด ทำให้เธอร้องไห้อย่างหนัก จนเกือบจะคิดสั้น แต่ด้วยกำลังใจที่ดีจากครอบครัวและคนรัก เธอจึงฮึดสู้เรียนรู้ที่จะปรับตัว และสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
คุณรุ่งนภา เล่าว่าตอนเด็กสายตาสั้นมาก จนเป็นสาเหตุให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม พออายุประมาณ 17 ปี เป็นต้อกระจก จึงรักษาด้วยการผ่าตัด และเปลี่ยนใส่เลนส์ตาในตอนนั้นมองเห็นได้ปกติ แต่พอช่วงเรียนมหาวิทยาลัยปี 2 ขณะล้างห้องน้ำอยู่ในหอพัก น้ำยาล้างห้องน้ำกระเด็นเข้าตา ในความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงเอาสายยางฉีดน้ำเข้าไป แต่ด้วยความแรงของน้ำ จึงทำให้จอรับภาพตาล้ม และรักษาไม่ได้ ซึ่งหมอก็ได้แต่แนะนำว่า ถ้าเราตาบอด เราก็ต้องใช้ชีวิตเหมือนคนปกติให้ได้
ช่วงเริ่มมองไม่เห็น รู้สึกท้อแท้ เสียใจมาก ทำอะไรไม่ถูก จนคิดสั้นฆ่าตัวตาย และพยายามหย่ากับแฟน เพราะไม่อยากเป็นภาระ คือเราไม่มีรายได้ ไม่มีงานทำ มองก็ไม่เห็น กลัวเขาจะอายคนอื่นที่มีแฟนที่ตาบอด แต่แฟนบอกว่าไม่อาย อย่างน้อยเขาก็ยังเป็นหูเป็นตาให้เราได้ ใครจะมองยังไงก็ไม่ต้องไปสนใจเพราะเราไม่ได้ไปขอเขากิน เราสามารถใช้ชีวิตร่วมกันอย่างนี้ได้ จึงเลยค่อยๆปรับตัวเรื่อยมา
ซึ่งได้ไปเรียนรู้การปรับตัว และการใช้ชีวิตที่มูลนิธิพิทักษ์ดวงตา โรงเรียนการศึกษาคนตาบอด จังหวัดลำปาง และได้ฝึกนวดแผนไทย เรียนคอมพิวเตอร์โดยใช้โปรแกรมเสียง การใช้โทรศัพท์มือถือ การอ่าน-เขียนอักษรเบรลล์ และการใช้ไม้เท้าขาวเพื่อการเดิน และได้รับโอกาสจากมูลนิธิให้ทำงานตำแหน่งครูพี่เลี้ยงต่อจนถึงปัจจุบัน ซึ่งทำมาตั้งแต่ปี 2559 หรือประมาณ 4 ปีมาแล้ว
งานที่รับผิดชอบก็จะช่วยครูประจำชั้นดูแลเด็กนักเรียน ทำกิจกรรมในชั้นเรียน สอนอ่านเขียนอักษรเบรลล์ การใช้คอมพิวเตอร์ แต่ปัจจุบันก็มาเป็นครูพี่เลี้ยงห้องอนุบาลเพื่อช่วยครูทำกิจกรรมต่างๆ เช่น อาบน้ำ แต่งตัว เพราะเด็กในมูลนิธิฯ จะมีความพิการซ้ำซ้อน คือไม่ได้มีปัญหาแค่ตาบอดเพียงอย่างเดียว การได้มาเป็นครูสอนเด็กตาบอดที่นี่ รู้สึกภูมิใจมาก เพราะเมื่อก่อนนี้เราก็เคยเรียนครูมาก่อน แต่พอได้มาเป็นครูพี่เลี้ยงก็นำความรู้ที่เคยเรียน มาปรับใช้ มาฝึกให้กับเด็กๆ ซึ่งเด็กที่นี่ส่วนใหญ่จะมาจากหลายจังหวัดทางภาคเหนือ เช่น แม่ฮ่องสอน ตาก เพชรบูรณ์ กำแพงเพชร และจังหวัดอื่นๆ
สำหรับการเข้าถึงสิทธิ์ และสวัสดิการจากทางภาครัฐ ปัจจุบันได้รับเงินช่วยเหลือคนพิการเดือนละ 800 บาท ได้สิทธิ์รักษาพยาบาลฟรี และรับสิทธิ์การเข้าทำงานคนพิการจากบริษัท เบอร์เกอร์ (ประเทศไทย) จำกัด แต่อยากให้สวัสดิการต่างๆ เข้าถึงผู้พิการตามถิ่นทุรกันดารที่ยังตกค้างมากขึ้น เช่น สวัสดิการที่อยู่อาศัย ส่วนเงินเดือนคนพิการก็อยากให้ปรับขึ้นมาเป็น 1,000 บาท เพราะค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น ส่วนเรื่องความเท่าเทียมกันระหว่างคนปกติ และคนพิการ คนส่วนใหญ่อาจมองว่าคนพิการมีข้อจำกัดในการใช้ชีวิต แต่เราก็ทำอะไรเองได้แทบทุกอย่าง เช่น เราตาบอดเราไม่สามารถขับรถได้ แต่อย่างอื่นเราสามารถช่วยเหลือตัวเองได้หมด
อยากจะให้กำลังใจคนพิการทุกคน รวมถึงคนที่กำลังท้อแท้อยู่ ในบางครั้งชีวิตของเราอาจตกต่ำ หรือแม้ว่าตัวเราจะพิการ แต่ใจเราก็ไม่ได้พิการ ถึงตาเราจะบอด แต่ใจเราไม่ได้บอด ไม่ว่าจะเกิดปัญหาไม่คาดคิดก็ต้องลุกขึ้นสู้ และอยากให้สังคมเปิดโอกาสให้คนพิการได้มีงานทำ ให้เขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยไม่ต้องเป็นภาระ หรือไปพึ่งพาคนอื่น