คน GEN Y หมดเงินไปกับ “ของมันต้องมี” ปีละ 1.37 ล้านล้านบาท เหตุกลัวตามไม่ทันคนอื่น


ปัจจุบันอาจจะบอกได้ หากใครมีความต้องการอยากได้สิ่งของ หรืออะไรก็ตามแต่ดูเหมือนว่าง่ายไปหมด เพราะทุกอย่างล้วนมีความสะดวกสบายในการเข้าถึง จึงกลายเป็นสิ่งล่อตาล่อใจจนบางครั้งก็ไม่อาจปฏิเสธได้

ด้วยปัจจัยเหล่านี้จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้คนไทยมีการใช้จ่ายอย่างเกินตัว จนสร้างหนี้ไปในที่สุด โดยเฉพาะกับประโยคที่ว่า “ของมันต้องมี” เพื่อไม่ให้ตนเองน้อยหน้าไปกว่าคนอื่น

ผลการสำรวจของ TMB Analytics ซึ่งศึกษาพฤติกรรมการใช้เงินจากข้อมูลโซเชียลมีเดียของคน GEN Y จำนวน 14.4 ล้านคน ตั้งแต่อายุ 23-28 ปี พบว่า กลุ่มคนในช่วงนี้หมดเงินไปกับ “ของมันต้องมี” สูงถึงปีละ 1.37 ล้านล้านบาท และแบกภาระหนี้ 423,000 บาทต่อคน

นายนริศ สถาผลเดชา ผู้บริหาร TMB Analytics กล่าวถึงการสำรวจในครั้งนี้ว่า “ของมันต้องมี” ของกลุ่ม GEN Y ก่อนอายุ 40 ปี คือ

  • ร้อยละ 48 อยากมีบ้าน
  • ร้อยละ 22 อยากมีรถยนต์
  • ร้อยละ 13 อยากมีเงินออมและสินทรัพย์อื่นๆ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นกับกลุ่มคน GEN Y พบว่ายอดใช้จ่ายกลุ่มสินค้า “ของมันต้องมี” พบว่ามีสัดส่วนถึงร้อยละ 69 ขณะที่รายการซื้อบ้าน ซื้อรถที่เป็นความใฝ่ฝันกลับมีสัดส่วนลดลงมา รวมถึงเงินออกที่มีไม่ถึงร้อยละ 10

โดยกลุ่มคน GEN Y หมดเงินไปกับ “ของมันต้องมี” เฉลี่ย 95,000 บาทต่อคนต่อปี หรือ 1 ใน 4 ของรายได้ 377,694 บาทต่อคนต่อปี ส่วนใหญ่เป็นการซื้อสมาร์ทโฟน เสื้อผ้า เครื่องสำอาง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กระเป๋า นาฬิกา เครื่องประดับ และเมื่อขยายภาพแต่ละปีกลุ่ม GEN Y ใช้เงินกับ “ของมันต้องมี” ถึงปีละ 1.37 ล้านล้านบาท

สำหรับสาเหตุที่อยากได้ “ของมันต้องมี” นั้นมาจากกลัวเอาท์ ตามไม่ทันคนอื่นมากกว่ามองเป็นของจำเป็น ซึ่งเงินส่วนใหญ่ที่นำมาใช้การกู้จากธนาคาร และใช้บัตรเครดิตกับบัตรกดเงินสดในการใช้จ่าย

ทั้งนี้ ข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า GEN Y จำนวน 14.4 ล้านคน มีการกู้เงิน 7.2 ล้านคน หรือร้อยละ 50 ของ GEN Y ทั้งหมด โดยมีภาระหนี้ 423,000 บาทต่อคน และร้อยละ 20 ที่กู้ หรือ 1.4 ล้านคน เป็นหนี้ผิดนัดชำระ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 7.1 ของสินเชื่อทั้งหมดที่มีการผิดนัดชำระหนี้