พ่อค้า-แม่ค้า จะคัดกรองลูกค้ายังไง ไม่ให้เสียเวลาชีวิต เพราะเขาไม่คิดซื้อกับคุณหรอก


สำหรับการทำธุรกิจแล้ว ยิ่งคุณมีลูกค้าเยอะแค่ไหนยิ่งดี แต่การจะเปลี่ยนใครสักคนให้มาเป็นลูกค้าของเราได้นั้นเป็นสิ่งที่ยากอย่างมาก เนื่องจากลูกค้าแต่ละคนล้วนมีความต้องการที่แตกต่างกัน ซึ่งบางคนพร้อมใจที่จะใช้บริการของคุณทันที บางคนอยากจะใช้แต่ไม่มีอำนาจในการสั่งซื้อ บางคนอาจจะชวนคุณคุยเพื่อหวังจะฟันส่วนลดที่คุณให้ไม่ได้ ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้มีแต่จะทำให้ทั้งเขา ทั้งคุณเสียเวลาเปล่า และแน่นอนว่า “เวลา” เองก็เป็นต้นทุนในการทำธุรกิจเช่นกัน ดังนั้นเพื่อไม่ให้คุณต้องสูญเสียมันไปโดยเปล่าประโยชน์

วันนี้เราจะพาไปดู ลักษณะนิสัยของลูกค้าที่คุณต้องเลี่ยงโดยด่วน เพื่อไม่ให้เสียเวลาชีวิต เพราะยังไงเขาก็ไม่คิดใช้บริการคุณ

1. ลูกค้าที่มีเจตนาแอบแฝง

สำหรับลูกค้าประเภทนี้อาจจะเป็นลูกค้าที่ใช้บริการของคุณจริง ช่วยให้องค์กรของคุณมีรายได้ แต่สุดท้ายมันจะไม่เป็นผลดีต่อตัวคุณเองอย่างแน่นอน เพราะพฤติกรรมที่ลูกค้าแบบนี้มีคือ เขาจะพยายามแฝงตัวเข้ามาสู่ทีมขายของคุณ เพื่อยื่น % แบ่งรายได้ที่เขาจะได้รับให้ฝ่ายทีมขายคุณ เพื่อให้พวกเขาเชียร์สินค้าชิ้นนั้น ยิ่งเขาขายได้เยอะ ก็ยิ่งได้ส่วนแบ่งเยอะ
ถึงแม้สินค้าของลูกค้ารายนี้จะใช้งานได้ดีจริง แต่พฤติกรรมที่มันแสดงออกถึงการทุจริตนี้จะส่งผลให้คุณไม่สามารถเชื่อถือเขาได้อีกเลย และสุดท้ายเมื่อทีมขายของคุณรับเงินเขามา ก็จะต้องเชียร์ให้คุณซื้อสินค้าถึงแม้ว่าจะมีคู่แข่งที่ดีกว่า ถูกกว่า และคุ้มค่ากว่าก็ตาม ดังนั้นจึงไม่ควรอย่างยิ่ง และถ้าจับได้ต้องไล่ออกทั้งพนักงาน และตัดขาดกับลูกค้าเลย

2. ลูกค้าที่ทำเรื่องจ่ายเงินนาน

เรียกว่าเป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจเลยก็ว่าได้ ที่คุณจะต้องเจอลูกค้าผัดวันประกันพรุ่ง หรือกว่าจะจ่ายได้ต้องรอไป 60 วัน ซึ่งในการทำธุรกิจนั้นถ้าคุณมั่นใจว่าลูกค้าจ่ายคุณแน่นอน คุณก็คงไม่มีปัญหา แต่มีหลายเจ้าที่เล่นแง่ และเมื่อถึงกำหนดก็ขอเลื่อนออกไปอีก มันส่งผลให้แผนที่คุณวางเอาไว้ต้องหยุดชะงักเอาได้ เนื่องจากคุณเองก็จะต้องเอาทุนไปจม จากที่จะได้นำมาพัฒนาต่อยอดธุรกิจ หรือสั่งสินค้าเพิ่ม แต่เงินกลับสูญหาย

พอเวลามันนานเข้า และหลายเจ้ามากขึ้น มันจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจคุณโดยตรงอย่างแน่นอน ส่งผลให้ธุรกิจคุณขาดสภาพคล่อง และกระทบต่อฝ่ายอื่นๆ เป็นลูกโซ่

3. ลูกค้าที่ไม่มีอำนาจในการสั่งซื้อ

สำหรับลูกค้าประเภทนี้ต่อให้คุณจะเสียเวลาหว่านล้อมนานแค่ไหน ก็ไม่ได้ผล เพราะตัวเขาเองอาจจะไมใช่คนที่ตัดสินใจว่าจะซื้อสินค้าชิ้นไหนดี เนื่องจากในการทำธุรกิจต้องแบ่งคนออกเป็นหลายฝ่าย เพื่อแบ่งเบาภาระหน้าที่ในการทำงาน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่องค์กรของลูกค้าจะไม่ส่งหัวหน้ามาเพื่อเจรจาต่อรองกับคุณ

แต่จะส่งเป็นคนที่เป็นระดับปฏิบัติการณ์หรือผู้รับผิดชอบในส่วนนั้นมาแทน ซึ่งสุดท้ายเขาก็ต้องเอาข้อมูลจากคุณไปเสนอหัวหน้าใหญ่อีกที เพื่อทำการตัดสินใจซื้อ และแน่นอนว่าเขาไม่ได้นำเสนอคุณคนเดียว แต่จะเปรียบเทียบกับคู่แข่งอีกมากมาย ส่งผลให้การส่งสานส์ต่างๆ อาจเกิดการผิดพลาด และไม่ครบถ้วน ทำให้คุณพลาดการขาย และเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ทางที่ดีควรสอบถามก่อนให้มั่นใจว่าเขาอยู่ในระดับอะไร ผู้จัดการ ผู้อำนวยการ ประธาน หรือหัวหน้า เพราะตำแหน่งเหล่านี้มักจะมีอำนาจในการตัดสินใจด้วยตัวเองได้

4. ลูกค้าที่ไม่ได้ต้องการสินค้าของคุณ

ลูกค้าประเภทนี้คุณจะปิดการขายได้ยากที่สุด เพราะเขาเป็นคนที่ไม่ได้หลงใหล ชื่นชม หรือต้องการสินค้าของคุณแม้แต่น้อย เขาจะมองว่าสินค้าคุณไม่มีประโยชน์ ไม่ได้เป็นที่ต้องการ หรือน่าใช้งานสำหรับเขาเลย ซึ่งถ้าคุณจะดึงดันขายสินค้าลูกค้าประเภทนี้ คุณต้องใช้แรงกาย แรงใจ ระยะเวลา และหลักการโน้มน้าวที่สุดยอดมากๆ

ซึ่งมันไม่คุ้มกับค่าเหนื่อยแน่ๆ เพราะถึงแม้คุณจะปิดการขายได้ก็จริง มันก็คงเป็นจำนวนไม่มาก และไม่ได้ช่วยให้ธุรกิจคุณมีกำไรมากขึ้นแน่นอน เพราะฉะนั้นมองหาโอกาสให้ดี และเล็งให้ถูกคน คุณอาจจะต้องทำการกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนยิ่งกว่านี้ก็ได้

5. ลูกค้าที่เอาแต่กดราคา

สุดท้ายแล้วลูกค้าประเภทที่จะเอาแต่คอยกดราคา ขอต่อรองจนคุณแทบจะไม่เหลืออะไร ก็ไม่ใช่ลูกค้าที่น่าคบค้าด้วยเช่นกัน เพราะการทำธุรกิจคุณเองก็ต้องหวังกำไร และกำไรที่น้อยนิดมันก็ไม่คุ้มกับค่าเหนื่อย ค่าเสียเวลาที่มี ดีไม่ดีอาจทำให้ธุรกิจของคุณชวดโอกาส เมื่อมีลูกค้ารายใหม่ที่จ่ายในราคาเต็มสนใจสินค้าคุณ แต่คุณกลับขายสินค้าชิ้นนั้นให้กับลูกค้าที่ขอกดราคาไปแล้ว อย่าให้สิ่งนี้เกิดกับคุณเด็ดขาด

พยายามแก้ปัญหาลูกค้าลักษณะนี้ด้วยการบอกออกไปว่า สินค้าของคุณดีกว่าสินค้าคู่แข่งยังไง บริการอะไรที่คุณเหนือกว่า และปัจจัยอะไรที่ทำให้สินค้าคุณมีราคาเท่านี้ เพื่อแจงให้เห็นว่าทุกบาททุกสตางค์ในสินค้าของคุณนั้นคุ้มค่ากับการลงทุนแน่นอน