ฮัทชิสัน พอร์ท เตรียมใช้รถบรรทุกไร้คนขับ ม.ค. 63


ชลบุรี, 27 พฤศจิกายน 2562

มร.สตีเฟ่น แอชเวิร์ธ กรรมการผู้จัดการ ฮัทชิสัน พอร์ท ประจำประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทผู้ลงทุน พัฒนา และดำเนินกิจการด้านท่าเทียบเรือชั้นนำของโลก ได้นำคณะผู้บริหารพาสื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมท่าเทียบเรือชุด D ณ แหลมฉบัง ชลบุรี ซึ่งเป็นท่าเรือแห่งใหม่ที่มีการพัฒนา และติดตั้งเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดในอาเซียน

โดยขณะนี้ ท่าเรืออัจฉริยะ หรือ Smart Port แห่งนี้ ได้ใช้เทคโนโลยีระบบควบคุมจากระยะไกล (Remote Control Technology) กับปั้นจั่นยกตู้สินค้าหน้าท่าจำนวน 6 เครน และปั้นจั่นยกตู้สินค้าในลานแบบล้อยาง จำนวน 20 เครน เปลี่ยนการทำงานจากเดิมที่จะต้องใช้คนขึ้นไปควบคุมด้านบน เครนละ 1 คน แต่เมื่อใช้ระบบนี้ทำให้ 1 คนสามารถควบคุมจากระยะไกลได้ถึง 3 – 4 เครน พร้อมการทำงานที่ถูกต้องแม่นยำ มีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคโนโลยีล้ำๆอีกมากมาย เช่น การนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มาเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างสายเดินเรือต่างๆ และผู้ใช้งานท่าเรือ เพื่อติดตามสถานะการขนส่งได้แบบเรียลไทม์ เทคโนโลยีประตูอัตโนมัติ (Gate Automation) บริเวณประตูทางเข้า และออกท่า เพื่อระบุตัวตนของรถได้จากระยะไกล

รวมถึงเทคโนโลยีรถบรรทุกไร้คนขับ (Autonomous Truck) ที่นำมาใช้ทั้งบริเวณหน้าท่าและลานในท่า ซึ่งเป็นรถไฟฟ้า ติดตั้งด้วยเทคโนโลยีไลดาร์ โดยช่วงมกราคม 2563 จะนำมาทดลองใช้จำนวน 6 คัน และจะดำเนินการให้ครบ 100 คัน ตามแผนงานที่วางไว้

สำหรับท่าเทียบเรือชุด D เป็นพื้นที่ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เป็นท่าเรือแห่งแรกที่จะใช้ระบบ 5G ปัจจุบันโครงการก่อสร้างเสร็จแล้วราว 50% มีความยาวหน้าท่า 1,000 เมตร สามารถรองรับเรือขนส่งสินค้าระวางความจุเกินกว่า 14,000 ทีอียู (หน่วยนับตู้คอนเทนเนอร์ไซส์ 20 ฟุต) มีน้ำหนักรวมได้มากถึง 150,000 ตัน และความยาวเรือ 360 เมตร

ภายในปี 2566 หรือ 4 ปีข้างหน้า โครงการท่าเทียบเรือชุด D จะเสร็จสมบูรณ์ โดยจะมีความยาวหน้าท่ารวมทั้งสิ้น 1,700 เมตร ประกอบไปด้วย ปั้นจั่นยกตู้สินค้าหน้าท่า 17 คัน และปั้นจั่นยกตู้สินค้าในลานแบบล้อยาง 43 คัน สามารถรองรับตู้สินค้าของฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย และท่าเรือแหลมฉบังได้อีก 3.5 ล้านทีอียู ซึ่งการลงทุนกับเทคโนโลยีล้ำสมัยมากมาย ก็เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นที่มีต่อประเทศไทย รวมถึงการพัฒนาและสร้างฮัทชิสัน พอร์ท ให้เป็นท่าเรือชั้นนำในอาเซียน พร้อมกับความตระหนักถึงมลภาวะ และสามารถดำเนินธุรกิจร่วมกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน