5 ระยะ 4 วิธี เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ที่ดีขึ้น และเห็นผลได้จริง


ผ่านพ้นช่วงปีใหม่กันไป หลายคนอาจกำลังพยายามทำตาม Resolution ที่ตั้งเป้าเอาไว้อย่างเต็มที่ ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่ก็อยากที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่การตั้งเป้าหมายและทำตามแบบไม่มีวิธีการที่แน่ชัดก็อาจทำให้คุณไขว้เขว และออกนอกลู่นอกทางบ้าง โดยส่วนใหญ่แล้วคนเราจะไม่สามารถประคองตัวเองให้อยู่ในวิถีชีวิตใหม่ ๆ หรือทำตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ได้นานเพียงพอให้เกิดความเคยชิน

เพราะฉะนั้นนักวิจัยทางจิตบำบัดจึงได้สร้าง Stage of Change ขึ้นมา ซึ่งเป็นทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ที่จะปรับนิสัย และพฤติกรรมของคุณให้ดีขึ้นได้แบบไม่มีล้มเลิกกลางคัน ซึ่งทฤษฎีนี้จะแบ่งการเปลี่ยนแปลงออกเป็น 5 ขั้นด้วยกันดังนี้

5 ขั้นตอน Stage of Change ที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงคุณได้จริง

1. ระยะเมินเฉย

ระยะนี้คุณจะยังมองไม่เห็นปัญหาของคุณเอง ไม่คิดว่าพฤติกรรมของตัวเองนั้นเป็นเรื่องผิด หรือไม่คิดจะปรับตัวกับมัน เพราะคิดว่าทุกอย่างที่คุณทำนั้นเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว

2. ระยะลังเล

ระยะที่สองนี้คุณจะเริ่มมองสิ่งที่คุณทำว่ามันคือปัญหาอย่างหนึ่ง และอาจส่งผลเสียในอนาคตของคุณได้ แต่ก็เท่านั้น เพราะคุณไม่ได้คิดจะปรับปรุงมัน หรือไม่มีการวางแผนจะทำแต่อย่างใด

3. ระยะเตรียมตัว

นี่คือระยะที่คุณเริ่มตระหนักถึงปัญหาอย่างจริงจัง และเริ่มอยากจะเปลี่ยนมัน โดยการวางแผนต่างๆ และคิดกลยุทธ์เพื่อหาทางออกถึงสิ่งนี้

4. ระยะลงมือทำ

ระยะที่คุณจะเริ่มลงมือทำ แม้ว่ามันจะผิด แม้ว่ามันจะไม่ค่อยได้ผล แต่คุณก็พยายามอย่างจริงจังเพื่อจะเปลี่ยนพฤติกรรม หรือปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น

5. ระยะคงที่

สุดท้ายแล้วเมื่อคุณทำพฤติกรรมใหม่ ๆ จนติดเป็นนิสัย คุณจะไม่หันหลังกลับไปทำอะไรแบบเดิมอีก ซึ่งนั่นหมายความว่าคุณประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว

4 วิธีเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ได้นานขึ้นแบบไม่ฝืนจนน่าเบื่อ

แต่แค่การรู้ถึงทฤษฎีเหล่านี้ไม่ได้การันตีว่าการเปลี่ยนแปลงตัวเองของคุณจะประสบความสำเร็จ เพราะหลายต่อหลายครั้งที่คนเรามักจะติดอยู่ขั้นตอนที่ 4 แต่ไม่เคยถึงขั้นตอนที่ 5 เพราะเมื่อลงมือทำไปสักระยะก็จะรู้สึกเบื่อ รู้สึกฝืน และไม่อยากทำอีก นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม 4 วิธีต่อไปนี้จึงจำเป็นสำหรับคนที่ต้องการเปลี่ยนตัวเอง เพราะมันจะช่วยให้คุณปฏิบัติได้เหมาะสมอย่างที่ควรจะเป็น

1. อย่าเปลี่ยนแบบหน้ามือเป็นหลังมือ

หากคุณมีเป้าหมายที่จะทำอะไรสักอย่าง พัฒนาบางสิ่งในตัวให้ดีขึ้น อย่าเปลี่ยนมันจากหน้ามือเป็นหลังมือเด็ดขาด หรือกลับตัวกลับใจทันที หักดิบทุกอย่างแบบเต็มขั้น เพราะสุดท้ายแล้วการฝืนตัวเองมากเกินไปจะทำให้คุณทำในสิ่งนั้นได้ไม่นาน หลักการเปลี่ยนตัวเองที่ดีที่สุดคือ ทำมันให้ง่ายเข้าไว้ ยิ่งมันง่ายเท่าไหร่ ไม่ต้องฝืนตัวเองแค่ไหน มันยิ่งทำให้คุณรู้สึกดีที่จะทำ และไม่หาข้ออ้างผัดวันประกันพรุ่งอีกด้วย

2. จดบันทึกทุกความก้าวหน้า

ถ้าคุณพัฒนาตัวเอง แต่ไม่เคยรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงเลย ความท้อแท้จะมาเยือนคุณแน่นอน เช่น คุณตั้งเป้าที่จะเรียนรู้ภาษาอังกฤษเอาไว้ คุณอาจจะจับเวลาในการตอบโต้นึกคำสนทนาในครั้งแรกไว้ ว่าคุณใช้เวลานึกคำนานแค่ไหน และเมื่อคุณเรียนได้ระยะหนึ่งจึงกลับมาทดสอบตัวเองใหม่ ความเร็วในการตอบที่เพิ่มขึ้น หรือศัพท์ต่างๆ ที่คุณใช้ได้อย่างแม่นยำ สละสลวย จะช่วยให้คุณเปรียบเทียบตัวเองกับวันก่อนหน้า และรับรู้ได้ถึงพัฒนาการที่ตัวเองมี ซึ่งนี่แหละคือแรงขับเคลื่อนที่ดีให้การเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นเรื่องระยะยาวสู่ Stage ที่ 5

3. มั่นใจในสิ่งที่คุณกำลังทำ

ความมั่นใจนี้เป็นหนึ่งในหลักจิตวิทยาง่าย ๆ ที่จะช่วยปลุกใจให้การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งของคุณฮึกเหิม และกล้าที่จะทำมันต่อไป คุณอาจจะเริ่มต้นด้วยการหลอกตัวเอง ท่องเอาไว้ในใจเสมอว่าคุณจะ…ให้ได้ การบอกตัวเองอย่างนั้นตลอด บอกผ่านหน้ากระจก บอกในใจ และนึกถึงแม้แต่ก่อนจะเข้านอน จะช่วยเสริมสร้างกำลังใจ ทำให้คุณไม่หลุดจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ และทำให้ไม่ล้มเลิกมันไปง่ายๆ อีกด้วย

4. อย่าทำมันคนเดียว

ถ้าคุณคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองแค่คนเดียว ความน่าเบื่อจะเข้ามาหาคุณแน่นอน ถึงแม้มันจะสำเร็จได้จริง แต่ก็อาจจะช้า หรือต้องใช้เวลานาน แต่ถ้าคุณมีเพื่อนมาร่วมทำ มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในครั้งนี้ หรือมีคนมาคอยจับตาดูคุณอยู่ล่ะก็ คุณจะมีไฟ และไม่อยากทำให้เขาหรือตัวเองผิดหวัง คุณจะพัฒนาตัวเองได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งถ้าแข่งกันกับเพื่อนในการพัฒนาเรื่องเดียวกันด้วย แรงกระตุ้นตรงนี้จะส่งผลให้คุณไปได้เร็วและไกลกว่า เพราะเป็นเหมือนกำลังใจให้กัน และทำให้มีสัญญาใจไม่ล้มเลิกมันไปง่าย ๆ ด้วย