6 ทิศทาง CSR ปี 2563


เมื่อวันอังคาร (25 ก.พ.) ที่ผ่านมา สถาบันไทยพัฒน์ ได้ทำการประเมินทิศทางความรับผิดชอบต่อสังคม หรือ CSR ภายใต้รายงานที่มีชื่อว่า 6 ทิศทาง CSR ปี 2563: The Year of Sustainpreneurship เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับหน่วยงานและองค์กรธุรกิจ ในการใช้เป็นแนวทางเสริมสร้างภาวะผู้ประกอบความยั่งยืนให้เกิดขึ้น ในอันที่จะส่งมอบคุณค่าร่วมแก่ผู้มีส่วนได้เสียทั้งผู้ถือหุ้น พนักงาน ลูกค้า ผู้ส่งมอบ ชุมชนท้องถิ่น และสังคมโดยรวม

ในรอบปี 2563 การให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง ภายใต้กระแสที่เรียกว่า Stakeholder Capitalism หรือ วิถีทุนนิยมที่เอื้อต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มในระบบเศรษฐกิจ จะเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายต่อการขับเคลื่อนการดำเนินงานขององค์กรธุรกิจ ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็น 6 ทิศทางสำคัญ ดังนี้

1. Investing in Employees: การพัฒนาบทบาทพนักงานที่เป็นมากกว่า “ทรัพยากร” (Resources) แต่เป็น “ทุน” (Capital) ของกิจการ

ปี 2563 องค์กรที่ให้ความสำคัญกับพนักงานในฐานะ “ทุน” ของกิจการ จะมีการสร้างแรงจูงใจหรือให้สิ่งจูงใจที่เหมาะสมแก่พนักงานในหลายรูปแบบ มีเส้นทางพัฒนาบทบาทของพนักงานที่ไม่จำกัดเพียงแค่สถานะลูกจ้างหรือผู้บริหาร แต่สามารถเป็นหุ้นส่วนหรือเป็นผู้ประกอบการในสังกัดของกิจการ (Intrapreneur) ที่ช่วยให้องค์กรเติบโตจากภายใน แต่มีความยืดหยุ่นเหมือนทำงานอยู่ภายนอกองค์กร โดยที่กิจการเป็นผู้ลงทุนและจัดสรรทรัพยากรต่างๆ ให้กับพนักงานที่เป็นเป้าหมายของการพัฒนาทักษะความเป็นผู้ประกอบการ

2. Delivering Shared Value to Customers: การส่งมอบคุณค่าร่วมจาก “กระบวนการธุรกิจ” ในรูปแบบ CSR-in-process มาสู่ “ตัวผลิตภัณฑ์” ในรูปแบบ CSR-in-product

ภาคธุรกิจที่ต้องการได้มาซึ่ง License to Grow จะมีการพิจารณาแนวทางการส่งมอบคุณค่าร่วมในรูปแบบ CSR-in-product หรือการดำเนินความรับผิดชอบต่อสังคมในตัวผลิตภัณฑ์ ที่มาจากการปรับแกนหลักของธุรกิจ (Core Business) ให้มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือมีความเป็นมิตรต่อสังคมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสในการสร้างการเติบโตในตลาดใหม่ ที่สามารถเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของกิจการในระยะยาว

3. Dealing Fairly and Ethically with Suppliers: การเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันจากการปฏิบัติต่อคู่ค้าอย่างเป็นธรรมและมีจริยธรรม

ในทศวรรษ 2020 ขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจ จะไม่ได้วัดกันที่ความสำเร็จขององค์กร (Organization) ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของกิจการอย่างเป็นเอกเทศ แต่เป็นความได้เปรียบทางการแข่งขันที่เกิดจากห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่อยู่ภายใต้การกำกับของกิจการในทิศทางที่สอดคล้องกับความมุ่งประสงค์ขององค์กร

4. Supporting the Local Communities: การสนับสนุนและพัฒนาชุมชนท้องถิ่น จากรูปแบบ CSR-after-process มาสู่ CSR-in-process

การนำกระบวนการหรือกิจกรรมทางธุรกิจมาใช้สนับสนุนและพัฒนาชุมชนท้องถิ่น จะกลายเป็นกลไกหลักในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน และตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งในแง่ของการสร้างงานแก่คนในท้องถิ่นด้วยการมอบโอกาสให้แก่สมาชิกชุมชนในการเป็นผู้ส่งมอบ ผู้จัดจำหน่าย ผู้ค้าปลีก ผู้ให้บริการในห่วงโซ่ธุรกิจ และในแง่ของการพัฒนาและส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการตามกำลังซื้อของผู้บริโภคในชุมชนท้องถิ่น ให้สามารถเข้าถึงสินค้าและบริการเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต

5. Valuing ESG Investors for Greater Impact: การให้คุณค่ากับผู้ลงทุนที่ใช้ปัจจัยด้าน ESG ในการพิจารณาตัดสินใจลงทุน เพื่อสร้างผลกระทบที่ดีต่อโลก

เป็นที่คาดหมายว่า บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จะมีการวิจัยข้อมูลและการจัดทำบทวิเคราะห์บริษัทในประเด็นด้าน ESG รวมทั้งการแนะนำหลักทรัพย์ที่มีความโดดเด่นด้าน ESG ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ ที่คำนึงถึงประเด็นด้าน ESG เพิ่มขึ้น สำหรับเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุนสามารถได้รับผลตอบแทนที่มิได้ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป และยังทำให้การลงทุนนั้น ช่วยเสริมสร้างผลกระทบเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกในทางที่ดีขึ้นด้วย

6. Collaborating with Local Government: การทำงานร่วมกับภาครัฐในฐานะหุ้นส่วนการพัฒนาที่ยั่งยืน (Partnership for Sustainable Development)

กิจการที่ต้องการความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ จำเป็นต้องแสวงหากระบวนการทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ผ่านช่องทางที่รัฐมีบทบาทเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นที่กิจการมีแหล่งดำเนินงานหรือสถานประกอบการตั้งอยู่ ในทิศทางที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ข้อที่ 17 ในแง่ของการเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Partnership for Sustainable Development)