วันพุธ, กรกฎาคม 3, 2567

เปรียบเทียบกันให้ชัด “บริษัท” กับ “บุคคลธรรมดา” ทำธุรกิจแบบไหนเสี่ยงน้อยที่สุด

by Anirut.j, 5 พฤษภาคม 2563

ปัจจุบันการทำธุรกิจแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.รูปแบบของบุคคลธรรมดา และ 2.รูปแบบนิติบุคคล ซึ่งธุรกิจแต่ละรูปแบบก็จะมีการกำหนดแนวทางที่ต่างกันออกไป ตลอดจนมีผลต่อการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และโอกาสการได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน

สำหรับบทความนี้ Smartsme จะพามาเปรียบเทียบกันว่าระหว่างธุรกิจในรูปแบบของ “บริษัท” และ “บุคคลธรรมดา” มีข้อดี - ข้อเสียในด้านต่างๆ อย่างไรบ้าง

ด้านการทำบัญชี

  • “บริษัท” จะต้องจัดทำบัญชีตามมาตรฐานบัญชี และจัดให้มีผู้ตรวจสอบ พร้อมกับรับรองบัญชี ประกอบด้วย มีข้อมูลทางบัญชีที่น่าเชื่อถือในแต่ละธุรกรรม, รู้สภาพปัจจุบันของธุรกิจ ทั้งกำไร/ขาดทุน/ต้นทุน, รู้สถานะที่แท้จริงของกิจการ และนำข้อมูลมาใช้วางแผนทางธุรกิจ
  • “บุคคลธรรมดา” จะต้องจัดทำรายงานเงินสดรับจ่าย ตามมาตรา 40(5) (6) (7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร ไม่ว่าจะหักค่าใช้จ่ายในอัตราเหมา หรือหักค่าใช้จ่ายตามจริงก็ตาม มีหน้าที่ต้องจัดทำรายงานเงินสดรับจ่ายดังกล่าว

ด้านความน่าเชื่อถือ

 

  • “บริษัท” มีความน่าเชื่อถือมากกว่า เพราะว่ามีการจดทะเบียนจัดตั้งกับหน่วยงานของภาครัฐ รวมถึงมีการจัดทำบัญชีตามมาตรฐาน
  • “บุคคลธรรมดา” มีความน่าเชื่อถือน้อยกว่า เพราะการจัดตั้งทำได้ง่าย มีข้อบังคับทางกฎหมายน้อย อีกทั้งยังไม่ได้ทำบัญชีมาตรฐานที่กำหนด นำมาสู่ข้อมูลในกิจการที่ยังไม่ครอบคลุมพอ

ด้านความรับผิดชอบในหนี้สิน

 

  • “บริษัท” มีความเสี่ยงน้อยกว่า เพราะมีการแยกส่วนออกกันอย่างชัดเจนระหว่างกิจการ และเจ้าของกิจการ ดังนั้นหากเกิดหนี้สินก็จะไม่รวมกัน
  • “บุคคลธรรมดา” เรียกได้ว่ามีความเสี่ยงมากกว่า เพราะเกิดหนี้สินขึ้นมาเจ้าของธุรกิจจะรับไปคนเดียวไปเต็ม ๆ

ด้านการหักภาษีค่าใช้จ่าย

  • “บริษัท” มีหลักฐานการหักรายจ่าย จากการทำธุรกิจที่สามารถพิสูจน์ได้ รวมถึงยังได้รับสิทธิประโยชน์จากภาครัฐที่จะมีมาตรการออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการทำธุรกิจออกมาอยู่เรื่อยๆ และยังสามารถหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินบางประเภทในอัตราเร่งได้
  • “บุคคลธรรมดา” เงินได้บางประเภทหักค่าใช้จ่ายได้ 2 วิธี คือ 1.หักในอัตราเหมา ตามอัตราที่กฎหมายกำหนด 2.หักตามความจำเป็นและสมควร

ด้านการเสียภาษี

  • “บริษัท” เสียภาษีจากกำไรสุทธิ (รายได้ – รายจ่าย) และถ้าขาดทุนไม่ต้องเสียภาษี และยังสามารถนำผลขาดทุนไปหักกำไรปีต่อไปได้สูงสุด 5 ปี
  • “บุคคลธรรมดา” คำนวณภาษี 2 วิธี ได้แก่ วิธีที่ 1 เงินได้สุทธิ x อัตราภาษีก้าวหน้า และวิธีที่ 2 รายได้นอกเหนือจากเงินเดือนหรือค่าแรงงานก่อนหักค่าใช้จ่าย x 0.5%

ด้านอัตราภาษี

  • “บริษัท” มีอัตราการเสียภาษี 2 ทางเลือกด้วยกัน คือ 1.นิติบุคคลทั่วไป 20% และ 2. SME ที่มีอัตราภาษีสูงไม่เกิน 20% รอบระยะเวลาบัญชี 2561 แบ่งตามกำไรสุทธิ 0-300,000 บาท ได้รับการยกเว้นภาษี ส่วนกำไรสุทธิ 300,001-3,000,000 บาท เสียภาษีอัตรา 15% และกำไรสุทธิ 3,000,000 บาทขึ้นไป เสียภาษีอัตรา 20%
  • “บุคคลธรรมดา” เสียภาษีอัตราก้าวหน้าสูงสุด 35%

 


Mostview

ถอดบทเรียน Robinhood ตั้งเริ่มทำธุรกิจขาดทุนทุกปี รวม 5.5 พันล้านบาท

“Robinhood” อีกหนึ่งแอปพลิเคชันส่งอาหารเดลิเวอรี ภายใต้การบริหารของเอสซีบี เอกซ์ (SCBX) ที่ต้องโบกมือลา โดยจะหยุดให้บริการมีผลตั้งแต่วันที่ 31 ก.ค.2567 เป็นต้นไป โดยบริษัทได้บอกว่าพวกเขาทำภารกิจลุล่วงแล้วกับการช่วยเหลือร้านค้า ไรเดอร์ และคนตัวเล็ก

ลาออกจากงาน 1 ปี เพื่อหาความสุขที่แท้จริง สุดท้ายได้แนวทางใช้ชีวิตไปจนเกษียณ

เชื่อว่าทุกคนอยากมีชีวิตตามสิ่งที่คิดไว้ แต่แน่นอนว่าด้วยภาระหน้าที่ต่าง ๆ ทำให้เราไม่สามารถเป็นไปอย่างที่หวัง หรือไปถึงเป้าหมายตรงนั้นได้ช้าลง

Art Toy มาแรงรันธุรกิจของเล่นเติบโต ปี 2566 สร้างรายได้รวม 19,677 ล้านบาท ทำกำไร 468 ล้านบาท

อีกหนึ่งกระแสมาแรงในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้น Art Toy ของเล่นสะสมที่กำลังเป็นที่นิยม เกิดนักสะสมหน้าใหม่ เกิดการต่อยอดนำมาสู่ธุรกิจจากความต้องการของผู้บริโภคที่ยอมจ่ายในราคามากกว่าเพื่อให้ได้ตัวละครที่ต้องการมา เหล่านี้จึงทำให้ธุรกิจของเล่น

“เยาวราช” ย่านธุรกิจคนไทยเชื้อสายจีน แม้วันเวลาเปลี่ยนแต่มนต์ขลังยังคงอยู่

“เยาวราช” หรือ “ไชน่าทาวน์” ชื่อนี้คนไทยรู้จักกันมานาน และกลายเป็นกระแสพูดถึงอีกครั้ง เมื่อศิลปินไทยระดับโลกอย่าง “ลิซ่า” ที่มาใช้พื้นที่ถ่ายทำ MV เพลง Rockstar ที่ทำลายสถิติมียอดวิวบน YouTube ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกมากที่สุดในปี 2024

SmartSME Line