นักธุรกิจดังระดับโลกกว่าพวกเขาจะมาประสบความสำเร็จได้ถึงทุกวันนี้ ต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคมาอย่างโชกโชน หนึ่งในนั้นคือ “ความจน” ซึ่งคนส่วนใหญ่อาจมองภาพกว้าง คิดไปเองว่านักธุรกิจเหล่านี้ต่างมีพื้นฐาน หรือสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุนกันอย่างดี สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จ เพราะทุกอย่างได้รับการสนับสนุนอย่างดีอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ความคิดนี้ก็ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป เพราะยังมีนักธุรกิจที่เริ่มต้นจากศูนย์ ฝ่าฟันด้วยความคิด ไอเดียของตัวเองจนทำให้แบรนด์สินค้าที่ทำกลายเป็นที่รู้จัก ได้รับการยอมรับจากลูกค้า จนมีชื่อเสี่ยงโด่งดังไปทั่วโลก แล้วนักธุรกิจเหล่านั้นมีใครกันบ้าง? บทความนี้เรามาหาคำตอบกัน ซึ่งบอกเลยว่าในแต่ละรายนั้นทุกคนล้วนรู้จักกันเป็นอย่างดี
Jan Koum เคยเป็นภารโรง ก่อนมาทำ WhatsApp
Jan Koum ผู้ก่อตั้ง WhatsApp เกิดในประเทศยูเครน และเมื่ออายุ 16 ปี ครอบครัวของเขาได้อพยพมายังสหรัฐฯ โดยปักหลักอาศัยอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย ซึ่ง Jan Koum มีความชื่นชอบส่วนตัวในเรื่องเทคโนโลยี โดยศึกษาเครือข่ายการทำงานของคอมพิวเตอร์จากหนังสือคู่มือเล่มเก่า ต่อมาเขาได้เข้าทำงานที่ Yahoo และได้รู้จักกับ Brian Acton ซึ่งทั้งคู่กลายเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง WhatsApp

John Paul DeJoria เป็นคนไม่มีที่อยู่อาศัย ก่อนค้นพบวิธีการดูแลเส้นผมเฉพาะด้าน
John Paul DeJoria ผู้ก่อตั้งบริษัท John Paul Mitchell Systems กับพาร์ทเนอร์ของเขาที่รวมเงินกัน 700 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเปิดธุรกิจขายแชมพู และครีมนวด เพื่อหวังว่าสักวันหนึ่งจะยิ่งใหญ่ในอนาคต โดยในวัยเด็ก John Paul DeJoria อาศัยอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ในลอสแอลเจลิส และได้ตัดสินใจผิดพลาด หลังเข้าร่วมกับแก๊งค์วัยรุ่นอันธพาล จนกลายเป็นคนไร้บ้านมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

John Paul DeJoria เข้าทำงานกับบริษัทที่ทำผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมหลายแห่ง และเขาถูกขนานนามว่าเป็นพนักงานขายที่เก่งคนหนึ่งของบริษัท อย่างไรก็ตาม เขาต้องถูกไล่ออกจากงาน เนื่องจากไม่เหมาะสมกับบริษัท ต่อมา John Paul DeJoria และ Paul Mitchell เพื่อนช่างทำผม จึงตัดสินใจทำธุรกิจร่วมกัน โดยมีเป้าหมายที่จะขายผลิตภัณฑ์ความงามระดับหรู แต่ราคาสามารถจับต้องได้ โดยธุรกิจต้องดิ้นรนเป็นระยะเวลาถึง 2 ปี ก่อนที่จะตั้งตัวได้ และประสบความสำเร็จในที่สุด
Larry Ellison ดร็อปเรียนจากมหาวิทยาลัย เพื่อหาเส้นทางชีวิต
Larry Ellison ผู้ก่อตั้ง Oracle Corporation เกิดมาในครอบครัวคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว และดรอปเรียนในมหาวิทยาลัยถึงสองครั้งสองครา ก่อนค้นพบเส้นทางชีวิตของตัวเอง โดยบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านฐานข้อมูลซอฟต์แวร์ข้ามชาติและเทคโนโลยีมีรายได้ต่อปีมากกว่า 37 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อีกทั้ง ตามรายงานของนิตยสาร Forbes พบว่า Larry Ellison มีมูลค่าทางทรัพย์สิน 56.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

Howard Schultz ขายเลือดตัวเองเพื่อนำเงินมาจ่ายค่าเทอม
ใครจะไปรู้ว่าชายที่ปฏิวัติองค์กรอุตสาหกรรมกาแฟกับแบรนด์สตาร์บัคส์ และมีมูลค่าทรัพย์สินกว่า 2.8 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตามรายงานของนิตยสาร Forbes เมื่อตอนอายุ 7 ขวบ คุณพ่อของ Howard Schultz ข้อเท้าหักจากการทำงาน และไม่ได้ทำประกันสุขภาพ ทำให้ ณ เวลานั้นครอบครัวต้องสูญเสียรายได้หลักไป ซึ่งตัวเขารู้สึกสิ้นหวังในช่วงเวลานั้นเป็นอย่างมาก

ในช่วงมหาวิทยาลัย Howard Schultz ทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ และขายเลือดของตัวเองเพื่อหาเงินเป็นค่าเทอมเรียนหนังสือ ต่อมาในช่วงต้นทศวรรษ 1980 เขาได้รู้จักกับร้านกาแฟขนาดเล็กในซีแอทเทิลภายใต้ชื่อสตาร์บัคส์ และมองเห็นศักยภาพของแบรนด์ว่าสามารถเติบโตไปทั่วประเทศได้ หากมีการรักษาคุณภาพไว้
หลังจากนั้น Howard Schultz ได้เข้าเป็นหุ้นส่วนของสตาร์บัคส์ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ซึ่งมีการพัฒนารสชาติกาแฟอย่างรวดเร็ว พร้อมขยายสาขาออกไปทั่วสหรัฐฯ โดยในปี 2000 สตาร์บัคส์เป็นแบรนด์ที่เติบโต และถูกยอมรับจากผู้บริโภคทั่วโลก ซึ่งมีสาขามากกว่า 3,500 สาขา สร้างรายได้เฉลี่ย 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
อ้างอิงข้อมูล : entrepreneur