Blue Parking สตาร์ทอัพที่ต้องการแก้ปัญหาเรื่องการสัมผัสในลานจอดรถ


เมื่อมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์โดยเริ่มเปิดสถานที่สาธารณะต่าง ๆ ให้คนเริ่มออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น แต่โควิด-19 ก็ได้สร้าง New Normal ให้กับทุกคน เพราะต่างรู้กันอยู่แล้วว่า จากนี้ไปวิถีชีวิตประจำวันจะไม่มีอะไรเหมือนเดิม

ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลชัดเจนที่ภาคธุรกิจต่าง ๆ ต้องมีการปรับตัวเพื่อรองรับกับ New Normal ที่เกิดขึ้นเพื่อให้ลูกค้าหรือผู้บริโภครู้สึกมั่นใจในด้านความปลอดภัยว่า หากต้องมาใช้บริการจะไม่เกิดความเสี่ยงเมื่อต้องออกมาใช้ชิวิตนอกบ้าน และด้วยปัจจุบันที่เป็นยุคของดิจิทัล ดิสรัปชั่น จึงสามารถนำเทคโนโลยีไปพัฒนานวัตกรรมเพื่อช่วยลดข้อจำกัดหรืออุปสรรคต่าง ๆ ให้ตอบโจทย์และสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน

บริษัท บลู พาร์คกิ้ง จำกัด (Blue Parking) สตาร์ทอัพเจ้าของนวัตกรรมระบบบริหารที่จอดรถอัจฉริยะ โดยใช้เทคโนโลยี IoT (Internet of Things) เพื่อเปลี่ยนแปลงประสบการณ์การจอดรถให้ง่ายและไร้การสัมผัส มองเห็นว่าปัจจุบันมี 3 ธุรกิจหลักที่ควรเริ่มและเร่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคหรือลูกค้าเพื่อให้มั่นใจว่าจะมีความปลอดภัยตั้งแต่ย่างก้าวแรกเมื่อเข้ามาใช้บริการ โดยลดการสัมผัสสิ่งต่างๆ หรือพบปะผู้คนเพื่อรักษาระยะห่างทางสังคมให้มากที่สุด

ห้างสรรพสินค้าต่างนำใช้นวัตกรรมมาใช้เพื่อลดการสัมผัสให้น้อยที่สุด ขณะเดียวกันผู้ใช้บริการเองก็ยังต้องรู้จักป้องกันตนเองและหลีกเลี่ยงการสัมผัสสิ่งต่าง ๆ ให้น้อยที่สุด ตั้งแต่การกดลิฟท์ที่ปัจจุบันห้างฯ มีทั้งการพัฒนาระบบเซ็นเซอร์ หรือการเปลี่ยนปุ่มกดลิฟท์เป็นการใช้เท้าแทน และถ้าจะให้ดีควรหันมาใช้ดิจิทัลอีเพย์เมนท์แทนในการชำระเงินเพื่อลดความเสี่ยงจากการสัมผัสเงินสด

โรงพยาบาลต้องบริหารจัดการเพื่อให้ใช้เวลาในสถานพยาบาลน้อยที่สุด โรงพยาบาลถือเป็นสถานที่ต้องรักษาความสะอาดและสร้างความมั่นใจให้ผู้มาใช้บริการเป็นอันดับต้น ๆ เพราะอีกด้านหนึ่งโรงพยาบาลคือแหล่งรวมเชื้อของผู้ป่วยที่เข้ามารักษาโรคต่าง ๆ ดังนั้นทางโรงพยาบาลก็ต้องเตรียมรับมือสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้มาใช้บริการเกิดความมั่นใจว่ามีความสะอาดและปลอดภัยเป็นอย่างดี

คอนโดมิเนียมต้องทำให้รู้สึกสะดวกและปลอดภัยเมื่ออยู่อาศัย สำหรับผู้ที่อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม ปัจจุบันทางโครงการก็ต้องปรับแนวทางมาตรการการเข้า-ออก คอนโดฯ ให้มีความเข้มงวดมากขึ้น แต่สิ่งที่จะเป็น New Normal สำหรับอุตสาหกรรมนี้คือ ผู้พัฒนาโครงการคอนโดฯ ที่จะต้องทำอย่างไรผู้ที่จะเลือกซื้อจึงจะรู้สึกได้ว่าถ้าจะมาอยู่อาศัย จะไม่รู้สึกกังวลเรื่องความสะอาด ความปลอดภัย และต้องรู้สึกถึงความสะดวกสบาย

ทั้ง 3 ธุรกิจนี้มีจุดร่วมและข้อจำกัดที่อาจเป็นความเสี่ยงที่เหมือนกันนั่นคือ การให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการที่จอดรถน้อยเกินไป ทั้งที่เป็นจุดแรกของการเข้ามาใช้บริการที่ต้องมีการสัมผัสรับบัตรจอดรถทั้งจากเครื่องอัตโนมัติหรือจากพนักงานก็ตาม อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่ต้องสัมผัสหากมีการชำระเงินค่าบริการด้วยเงินสด โดยน่าจะเป็นจุดที่สร้างความกังวลให้ผู้ใช้บริการอยู่เพราะบัตรจอดรถแบบสแกนที่รับมานั้นไม่สามารถแน่ใจได้ว่ามีการทำความสะอาดทุกใบก่อนที่จะนำมากลับมาใช้ซ้ำหรือไม่ หรือการสัมผัสที่ต้องรับบัตรจอดรถมาปั๊ม รวมทั้งการจ่ายเงินกับพนักงานเพื่อชำระค่าจอดรถ

ผู้ประกอบการทั้ง 3 ธุรกิจควรต้องรับมือกับ New Normal เหล่านี้ให้ชัดเจน ด้วยการหันมาใช้เทคโนโลยีเพื่อลดข้อจำกัดดังกล่าวนี้ไป และทำให้เกิดการลดการสัมผัสใด ๆ ในขั้นตอนของการจอดรถให้ได้มากที่สุดเพื่อให้ลูกค้าได้เชื่อมั่นและสะดวกใจที่จะเดินทางมาใช้บริการ เพราะที่จอดรถถือเป็นสถานที่แห่งแรกที่มีผลต่อความรู้สึกเมื่อเดินทางเข้ามาใช้บริการ

โดยทั้ง 3 สถานที่สามารถใช้ไม้กั้นที่ใช้เทคโนโลยี ALPR (Automatic license plate recognition) ที่เมื่อขับรถเข้ามาก็จะสามารถอ่านป้ายทะเบียนรถยนต์ได้อย่างแม่นยำ ทำให้ไม่ต้องใช้บัตรจอดรถในการผ่านเข้าออก และไม่ต้องสัมผัสบัตรจอดรถซึ่งได้ผ่านมือคนจำนวนมาก อีกทั้งผู้ให้บริการที่จอดรถหรือเจ้าของสถานที่เองก็ยังสามารถบริหารระบบจอดรถได้อย่างครบวงจรมากขึ้น ตั้งแต่การกำหนดเวลาเปิด-ปิด การบริหารจัดการสมาชิกที่เข้ามาใช้บริการ ฯลฯ

เนื่องจากสามารถบริหารข้อมูลผ่านระบบ Cloud ที่มีการทำงานแบบเรียลไทม์ อีกทั้งยังเป็นระบบที่รองรับการชำระค่าบริการบนดิจิทัลเพย์เม้นท์ผ่าน QR code ซึ่งในอนาคตจะมีการพัฒนาเพื่อให้รองรับการจัดการความปลอดภัยแบบ Single solution ด้วยระบบสั่งงานด้วยเสียง และการจดจำใบหน้าผู้ใช้บริการ ทั้งหมดนี้ถือเป็นการตอบโจทย์การดำเนินชีวิตแบบปกติใหม่ที่ต้องมีการเว้นระยะทางสังคม (Social Distancing) ได้เป็นอย่างดี รวมถึงทำให้เกิดการปรับตัวในกรณีที่ในอนาคตอาจเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อีกด้วย