ทำไมธุรกิจยุคนี้ต้องทรานส์ฟอร์มถึงจะอยู่รอด
การทำธุรกิจสมัยนี้ เราไม่อาจทำแบบเดิม ขายแบบเดิม บริหารแบบเดิมได้อีกต่อไป เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยมากขึ้นจึงเข้ามาเปลี่ยนแปลง ทำให้ธุรกิจที่ทำอยู่ดียิ่งขึ้น
คอนเทนต์บนโลกออนไลน์นั้นเกิดใหม่ขึ้นมาทุกวัน วันละหลายหมื่น หลายแสนคอนเทนต์ ซึ่งก็มีทั้งคอนเทนต์เก่าทั่วไปที่เห็นกันมาแล้วเนิ่นนาน กับคอนเทนต์ใหม่ได้คุณภาพที่สร้างความน่าสนใจได้จริง สิ่งที่จะเป็นตัวชี้วัดองค์กรหนึ่งว่าน่าสนใจแค่ไหน มีความเป็นมืออาชีพยังไง ก็วัดกันง่ายๆ ได้จากคอนเทนต์ที่นำเสนอนั่นเอง หากสิ่งที่เขาทำออกมายังคงเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้น่าสนใจ นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้รู้ในสิ่งที่กำลังทำอยู่จริงๆ หรือสิ่งที่นำเสนอมันเก่าเกินไป ก็แสดงให้เห็นว่าเขามีความตกยุค ตกสมัย ไม่ทันเทรนด์
ดังนั้นการสร้างคอนเทนต์ออกมาทุกวัน ไม่ได้เป็นตัวการันตีว่าธุรกิจคุณจะประสบความสำเร็จ แต่มันเป็นเครื่องยืนยันว่าคุณไม่ได้เลิกทำธุรกิจไปเท่านั้นเอง เพราะคุณแค่อัปเดตตัวเองอยู่ตลอดเวลา จะดีกว่าไหมถ้าคุณสามารถสร้างคอนเทนต์ที่มีคนสนใจ ให้สมกับเวลาที่ลงทุนลงแรงไป ทำคอนเทนต์ที่โดนใจกลุ่มเป้าหมาย และสร้างผลลัพธ์ที่ดี ช่วยเหลือพวกเขาได้จริง ไม่เพียงแต่แค่ให้มีอะไรเคลื่อนไหวไปวันๆ
เพราะการทำคอนเทนต์มันแสดงให้เห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของคุณ ว่าธุรกิจคุณเป็นยังไง มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน และนั่นจะส่งผลโดยตรงกับยอดขายของธุรกิจคุณแน่นอน
5 วิธีสร้างคอนเทนต์ให้โดนใจกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้จะช่วยให้ประสบความสำเร็จและทำให้ผู้ติดตามให้ความสนใจกับคุณมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
1. สร้างคอนเทนต์โดยดูว่าผู้เสพจะได้อะไร
คอนเทนต์จำนวนมหาศาล ไม่ได้ช่วยให้คุณประสบความสำเร็จได้เสมอไป กลับกันคอนเทนต์ที่น้อยแต่มาก อัดแน่นไปด้วยความรู้ เรื่องราวน่าสนใจที่ผู้ติดตามของคุณอยากจะทราบต่างหาก ที่เป็นตัวช่วยให้คุณถึงเป้าหมายได้ไวขึ้น การทำคอนเทนต์อย่าเน้นที่ปริมาณ ให้เน้นที่คุณภาพว่าผู้เสพจะได้อะไรกลับไป ต่อให้คุณลงคอนเทนต์ทุกวัน แต่ไม่ได้สร้างอะไรให้กับสังคมเลย ธุรกิจคุณก็จะกลายเป็นแค่ทางผ่านที่ลูกค้าไม่ได้รู้สึกว่าเชี่ยวชาญด้านนั้นจริงๆ ไม่อยากใช้บริการ และสุดท้ายก็หนีไปซบคู่แข่งที่มีการทำคอนเทนต์เชิงลึกที่น่าสนใจและดูมีความชำนาญในด้านนี้จริงๆ มากกว่าคุณ
2. คอนเทนต์ที่ดีต้องเห็นภาพชัดเจน
คอนเทนต์ที่จะได้ใจกลุ่มเป้าหมาย และทำให้พวกเขาเกิดความสนใจ สมกับที่คุณเสียเวลาสร้างมันขึ้นมา คือคอนเทนต์ที่เห็นภาพชัดเจนว่ามันคืออะไร และน่าเชื่อถือมากแค่ไหน คุณควรยกตัวอย่างในคอนเทนต์ทุกครั้ง หรืออย่างน้อยถ้ามันเป็นคอนเทนต์ที่ให้ความรู้ ให้สิ่งที่มีค่าจริงๆ ควรอ้างอิงถึงสิ่งที่จะสร้างความน่าเชื่อถือเหล่านั้นลงไป เช่น สถาบันที่ให้ข้อมูลนี้ ผู้มีชื่อเสียงที่กล่าวสิ่งนั้นออกมา ตัวอย่างของคนที่สำเร็จที่คุณยกมาอ้างอิง หรือแม้แต่ชุดตัวเลขต่างๆ เองก็จะช่วยยืนยันให้คอนเทนต์เหล่านั้นน่าสนใจ และน่าเชื่อถือขึ้นได้เช่นกัน พยายามใส่สิ่งเหล่านี้เข้าไปเยอะๆ จะทำให้คอนเทนต์คุณดูมืออาชีพมากกว่าเดิม
3. นำเสนอเรื่องที่ถูกต้อง แม้ไม่ถูกใจ
เมื่อคุณนำเสนอคอนเทนต์อะไรสักอย่างหนึ่ง จำไว้เสมอว่าความถูกต้องต้องมาก่อน ไม่ว่าคอนเทนต์นั้นมันอาจจะไม่ถูกใจคุณก็ตาม แต่ถ้ามันสามารถสื่อความถูกต้องให้ผู้ติดตามเข้าใจได้ นั่นก็นับว่าเป็นเรื่องดี เช่น คุณเปิดร้านขายหนังสือ และมีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับนักเขียนที่คุณชื่นชอบ การที่คุณจะทำคอนเทนต์อวยเขาขึ้นมาอีกครั้งไม่ใช่ความคิดที่ดี แต่การนำเสนอถึงหลักความเป็นจริงที่สังคมควรรู้ต่างหากที่น่าทำ และมันจะช่วยให้ทุกคนรับรู้ได้ว่าคุณมีความจริงใจ และอยากที่จะใช้บริการคุณมากขึ้นจากจุดนี้แน่นอน
4. เลือกทำเนื้อหาที่ไม่เหมือนใคร
ความต่างตรงนี้ไม่ใช่ให้คุณทำเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการเอาซะเลย เพียงแต่ต้องเลือกเรื่อง หรือหัวข้อที่หาดูยาก ที่คนไม่เคยนึกถึง ที่เป็นมุมมองใหม่ๆ ไม่ซ้ำกับใครที่เคยมีในท้องตลาด ยิ่งคุณผลิตคอนเทนต์แบบนี้ได้มากเท่าไหร่ คุณจะยิ่งกลายเป็น Original มากขึ้นเท่านั้น และนั่นทำให้เขาหาเสพคอนเทนต์แบบนี้จากที่ไหนไม่ได้นอกจากคุณคนเดียว จนสุดท้ายกลุ่มเป้าหมายจะติดดาว หรือติดตามคุณอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้พลาดคอนเทนต์เหล่านี้เอง และนั่นเป็นหนทางที่คอนเทนต์จะช่วยให้ธุรกิจคุณประสบความสำเร็จด้านยอดขายตามมา
5. ตามงานทุกคอนเทนต์ที่ทำไปเสมอ
หลังจากนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ออกไปแล้ว ไม่ใช่แค่คุณจะปล่อยให้มันลอยอยู่บนโลกออนไลน์ แล้วขายตัวมันเองแล้วจบไป แต่คุณควรติดตามงานทุกคอนเทนต์ด้วยว่ามีใครเข้ามาพูดคุย สื่อสารอะไรกับคุณบ้างรึเปล่า บางคนอาจเข้ามาคุยเล่น สอบถาม หรืออยากได้้ข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติม คุณเองก็ควรมีปฏิสัมพันธ์กับเขาเหล่านั้นด้วย มันจะช่วยให้คอนเทนต์ทุกอันที่คุณทำนั้นน่าสนใจยิ่งกว่าเคย เพราะกลุ่มเป้าหมายจะตั้งตารอว่าจะได้พูดคุย สอบถาม แลกเปลี่ยนประสบการณ์ หรือมุมมองความคิดเห็นกับคุณอีก ซึ่งมันทำให้คุณและเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น ลบกำแพงระยะห่างระหว่างแบรนด์กับลูกค้า และทำให้เขานึกถึงคุณขึ้นมาทุกทีที่อยากใช้บริการสินค้าต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับที่คุณมี
