ส่งออกเดือน ก.ค. หดตัวน้อยลง สะท้อน “ไทย” ผ่านจุดต่ำสุด แต่ยังต้องจับตาหลายปัจจัยเสี่ยง


Economic Intelligence Center  หรือ EIC เผยข้อมูลด้านมูลค่าการส่งออกเดือนกรกฎาคม 2020 พบหดตัวที่ -11.4%YOY หดตัวน้อยลงจาก -23.2%YOY ในเดือนก่อนหน้า สะท้อนถึงการผ่านจุดต่ำสุด (bottomed out) ของหลายประเภทสินค้าการส่งออกและเศรษฐกิจประเทศ คู่ค้าที่เริ่มปรับดีขึ้นหลังผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง 

โดยสินค้าส่งออกสำคัญหดตัวชะลอลงในหลายประเภทสินค้า ขณะที่สินค้าประเภทอาหารขยายตัวต่อเนื่องการส่งออกรถยนต์และส่วนประกอบยังหดตัวสูงที่ -30.9%YOY แต่ชะลอลงจาก -43.2%YOY ในเดือนก่อนหน้า โดยเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 ตลาดสำคัญที่หดตัว ได้แก่ จีน, เวียดนาม และออสเตรเลีย 

การส่งออกสินค้าเกษตรหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ -15.4%YOY หลังจากหดตัว -15.8%YOY ในเดือนมิถุนายน สินค้าเกษตรหลักที่ยังคงหดตัวต่อเนื่องได้แก่ ข้าว, ยางพารา และน้ำตาลทราย เป็นต้น

การส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันยังมีการหดตัวสูง จากราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับต่ำและภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา โดยสินค้าประเภทเคมีภัณฑ์และพลาสติกหดตัว -16.6%YOY ในขณะที่น้ำมันสำเร็จรูปหดตัวสูงถึง -38.7%YOY

มูลค่าส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญอื่น ๆ ยังมีการหดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า แต่หดตัวในอัตราที่ชะลอลง ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า , เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ, เหล็กและผลิตภัณฑ์ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 

อย่างไรก็ดี สินค้าส่งออกประเภทอาหารและอุตสาหกรรมบางรายการยังขยายตัวต่อเนื่อง อาทิ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป , อาหารสัตว์เลี้ยง, สุกรสดแช่เย็นแช่แข็ง, ผลิตภัณฑ์ยาง และอุปกรณ์กึ่งตัวนำ เป็นต้น

ด้านการส่งออกรายประเทศ การส่งออกไปจีนพลิกกลับมาหดตัวเช่นเดียวกับตลาดส่งออกสำคัญอื่น ๆ ขณะที่การส่งออกไปสหรัฐฯ ยังคงขยายตัว การส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ 17.8%YOY หลังจากขยายตัว 14.5%YOY ในเดือนก่อนหน้า โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ คอมพิวเตอร์ส่วนประกอบ, อุปกรณ์กึ่งตัวนำ และผลิตภัณฑ์ยาง

การส่งออกไปจีนพลิกกลับมาหดตัวที่ -2.7%YOY หลังจากขยายตัว 12.0%YOY ในเดือนมิถุนายน โดยเป็นผลจากน้ำท่วมในบางมณฑลของจีนและมาตรการปิดเมืองบางส่วนที่นำกลับมาใช้ โดยสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ เม็ดพลาสติก ยางพารา และรถยนต์และส่วนประกอบ เป็นต้น

ด้านมูลค่าการนำเข้าหดตัวเร่งขึ้นอยู่ที่ -26.4%YOY โดยเป็นผลจากการลดลงของการนำเข้าในทุกหมวดสำคัญ ได้แก่ สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป, หมวดสินค้าเชื้อเพลิง, สินค้าทุน, สินค้าอุปโภคบริโภค และยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง โดยจากการ
หดตัวที่เร่งขึ้นของมูลค่าการนำเข้า ทำให้ดุลการค้าในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นเป็น 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2020 มูลค่าการนำเข้าหดตัว -14.7%YOY และดุลการค้าเกินดุล 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

ด้านมูลค่าส่งออกไทยผ่านจุดต่ำสุดตามคาด โดย EIC ยังคงประมาณการส่งออกของปี 2020 ที่ -10.4% ขณะที่ในระยะข้างหน้า ยังมีหลายปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม โดยหากหักทองคำ การส่งออกจะหดตัวน้อยลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 หลังจากผ่านจุดต่ำสุดในเดือนพฤษภาคมซึ่งหดตัวสูงถึง -27.8%YOY สะท้อนแนวโน้มที่ดีขึ้นของภาคส่งออก อย่างไรก็ดี ในช่วงที่เหลือของปี ยังคาดว่าการส่งออกยังคงหดตัวต่อเนื่องจากหลายปัจจัยเสี่ยงกดดัน ได้แก่

1) การกลับมาระบาดอีกครั้งของ COVID-19 ในหลายประเทศที่เป็นตลาดส่งออกหลักของไทย โดยในช่วงหลังการกลับมาระบาดอีกระลอกทำให้หลายประเทศต้องกลับมาใช้มาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งหากพิจารณาความเข้มงวดของมาตรการควบคุมโรค (government stringency index) ในประเทศที่เป็นตลาดส่งออกหลักของไทย พบว่าหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อินเดีย และเวียดนาม เริ่มกลับมามีมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในช่วงหลัง และหากคำนวณดัชนีความเข้มงวดของมาตรการควบคุมโรคที่ถ่วงน้ำหนักตามสัดส่วนการส่งออกของไทยไปยังประเทศคู่ค้าหลัก 10 ประเทศข้างต้น พบว่าค่าดัชนีเริ่มปรับสูงขึ้น สะท้อนว่าภาคเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าอาจประสบภาวะชะลอตัวของการฟื้นตัว (stalling economic recovery) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของภาคส่งออกไทยในระยะถัดไป

2) สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ โดยล่าสุด นอกจากปัญหาด้านสงครามการค้าและปัญหาด้านการกีดกันบริษัทเทคโนโลยีจากจีนในตลาดสหรัฐฯ แล้ว ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังได้มีการลงนามบังคับใช้กฎหมายคว่ำบาตรจีน และเพิกถอนสถานะพิเศษฮ่องกง (ยกเลิกสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน รวมถึงยกเลิกการยกเว้นสิทธิภาษีเดินเรือกับฮ่องกง) ซึ่งทำให้สถานการณ์ระหว่างสองประเทศเลวร้ายมากขึ้น โดยในระยะข้างหน้า เป็นไปได้ว่าทั้งสองประเทศอาจใช้มาตรการที่สร้างความตึงเครียดระหว่างกันเพิ่มเติมที่อาจส่งผลกระทบต่อภาวะการค้าโลกในที่สุด

3) ความเสี่ยงในการถูกขึ้นบัญชีเป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงิน (Currency manipulator) โดยจากข้อมูลปี 2019 พบว่าไทยเข้าเกณฑ์ทั้ง 3 ข้อที่สหรัฐฯ กำหนดไว้ 

4) กระแสการย้ายฐานการผลิต (Reshoring of Supply Chains) และ ภูมิภาคาภิวัฒน์ (Regionalization)
ที่เร่งตัวขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 จากการที่มาตรการปิดเมืองในหลายประเทศทั่วโลกทำให้การดำเนินงานของบริษัทจำนวนมากหยุดชะงักปิดกิจการชั่วคราวหรือถาวรจากทั้งด้านอุปสงค์ที่ซบเซาตามภาวะเศรษฐกิจโลกและปัญหา supply chain disruption ด้วยเหตุนี้ หลายประเทศจึงมีแนวโน้มหันมาพึ่งพาการผลิตในประเทศมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว หรือกระจายการผลิตไปยังประเทศใกล้เคียง ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวอาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานของการส่งออกไทยได้

 

 

 อ่านเพิ่มเติมได้ที่ :  EIC : https://www.scbeic.com/th/detail/product/7009