5 เรื่องเข้าใจผิดที่คนมักทำตอนเช้า แต่จริงๆ ควรหลีกเลี่ยง


การทำงานให้มีประสิทธิภาพตลอดทั้งวัน ต้องเริ่มต้นด้วยกระบวนการและขั้นตอนที่ถูกวิธี หลายต่อหลายครั้งที่เราเริ่มทำงานไปได้สักพักหนึ่งแล้วรู้สึกว่าเราเหนื่อยล้า รู้สึกไม่มีสมาธิ แล้วทำงานได้ไม่ตรงตามเป้าหมาย ทั้งที่คุณเองคิดว่าคุณเริ่มต้นวันด้วยสิ่งดีๆ แล้วก็ตาม ซึ่งบางครั้งความเชื่อผิดๆ หลายอย่างที่คุณทำนี่เอง ที่อาจส่งผลกระทบให้วันทั้งวันนั้นเกิดเป็นการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น การเริ่มวันใหม่ด้วยการกินกาแฟ หรือตอบอีเมลทุกฉบับก่อนทำงาน

กิจวัตรประจำวันเหล่านี้ที่ดูเหมือนจะดีและช่วยให้คุณทำงานได้อย่างเต็มที่ มันกลับเป็นฝันร้ายที่ทำให้วันทั้งวันของคุณต้องจบลงอย่างล้มเหลวโดยที่คุณไม่รู้ตัว และนี่คือห้าเรื่องเข้าใจผิดที่คนมักทำตอนเช้า ทั้งที่จริงๆ ควรหลีกเลี่ยง

1. กินกาแฟตั้งแต่ตื่นนอน

การกินกาแฟจริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด หลายๆ คนก็กินกันตั้งแต่เช้า เพียงแต่การกินทันทีหลังตื่นนอนจะทำให้ฤทธิ์ของกาแฟหมดไป โดยที่คุณยังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ดื่มหลังตื่นนอนทันที

เพราะสุดท้ายเมื่อเริ่มต้นทำงานช่วง 8-9 โมง คุณก็ต้องดื่มอีกแก้ว หรือหลังจากนั้นก็ต้องมีดื่มเพิ่มแน่นอน ซึ่งฤทธิ์ของกาแฟนั้นจะช่วยให้ฮอร์โมนคอร์ติซอลตื่นตัวได้เต็มที่สูงสุดคือ 8-9 โมงเช้า ถ้าคุณดื่มก่อนเวลาดังกล่าว จะทำให้ฤทธิ์ของกาแฟมีประสิทธิภาพน้อยลง และยิ่งต้องดื่มมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ

2. ตอบอีเมลทั้งหมดทันที

สิ่งแรกที่คนส่วนใหญ่มักทำกันหลังจากนั่งลงบนโต๊ะทำงาน คือการตอบอีเมล เพื่อเป็นการเคลียร์ข่าวสารต่างๆ และเป็นงานเบาๆ ที่จะเป็นเหมือนการวอร์มสมองและร่างกายก่อนเริ่มงานอีกด้วย แต่นั่นไม่ใช่จุดเริ่มต้นที่ดีแบบที่หลายคนคิด เพราะการตอบอีเมลตั้งแต่เริ่มต้นของวัน จะทำให้คุณโฟกัสกับมัน และเสียเวลานานมากกว่าจะจัดการทุกอย่างได้หมด ซึ่งจะทำให้คุณหมดพลัง และใช้สมาธิเพ่งกับการตอบสิ่งเหล่านี้มากไปจนหลุดในงานชิ้นอื่นๆ แทน

ดังนั้นทางที่ดีควรตอบอีเมลเฉพาะในเรื่องที่สำคัญเท่านั้น ส่วนอีเมลฉบับอื่นให้ดูแค่ผ่านๆ ให้รู้ว่าคุณต้องทำอะไรบ้างในวันนี้ เพื่อจะได้วางแผนคร่าวๆ ได้อย่างที่ตั้งใจ

3. ทำงานทันทีโดยไม่วางแผน

หลายคนมักทำงานในแต่ละวันโดยไม่มีการวางแผนมาก่อนว่าแต่ละวันนั้นจะทำงานอะไรบ้าง ซึ่งจะทำให้การทำงานของคุณไร้ซึ่งประสิทธิภาพอย่างมาก เนื่องจากคุณจะสับสนว่าวันนี้จะทำอะไรดี และต้องทำงานชิ้นนี้ให้เสร็จภายในวันไหน การไม่กำหนดเวลาให้ชัดเจนแน่นอนจะทำให้คุณชะล่าใจ และมีโอกาสเสี่ยงที่จะพลาดงานสำคัญชิ้นอื่นๆ ต่อไป รวมถึงมีส่วนทำให้การทำงานไม่ได้ประสิทธิภาพ หรือทำไม่เสร็จตามเดดไลน์อีกด้วย

ทางที่ดีให้คุณจัดตารางการทำงานเสมอในทุกๆ อาทิตย์ วางแผนตั้งแต่ต้นสัปดาห์ว่าอาทิตย์นี้จะทำเรื่องอะไรบ้าง และแต่ละงานจะเสร็จได้วันไหน เมื่อคุณวางแผนทุกอย่างได้แล้วก็จะทำให้เห็นภาพรวมชัดขึ้น รวมถึงสามารถช่วยให้คุณคำนวนระยะเวลาการทำงานในระยะยาวได้ เมื่อมีงานใหม่เข้ามากะทันหันก็จะช่วยบริหารจัดการได้ดีกว่าเดิม

4. เริ่มต้นวันด้วยการทำงานที่ง่ายที่สุด

คุณอาจจะคิดว่าการทำงานที่ง่ายที่สุด เปรียบเสมือนการวอร์มเครื่องให้เราเข้าสู่จุดที่พร้อม เมื่อเครื่องร้อนก็จะทำงานชิ้นใหญ่ได้เต็มที่ ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ผิดมาก เพราะในความเป็นจริงเมื่อคุณทำงานที่ง่ายที่สุดแล้ว พลังงานที่เหลือน้อยลงจะทำให้คุณเริ่มท้อ และเหนื่อยเกินกว่าจะทำงานชิ้นใหญ่ที่รออยู่อีกต่อไป กลายเป็นว่าคุณจะไม่อยากทำงานชิ้นนั้นอีกเลยแม้จะวางแผนมาแล้วก็ตาม

เพราะฉะนั้น เริ่มต้นวันกับงานชิ้นใหญ่ที่สุดก่อนเสมอ แล้วหลังจากนั้นทั้งวันคุณจะไม่ต้องเหนื่อยกับอะไรอีกเลย และการทำงานที่เหลือจะง่าย สบาย จนคุณจบวันได้แบบสบายๆ ไม่เหนื่อยจนล้าแบบที่เคย

5. ทำงานเยอะๆ ในคราวเดียว

ความ multitasking หรือการทำหลายสิ่งหลายอย่างพร้อมกันได้ เป็นทักษะที่หลายคนอาจจะคิดว่ามันช่วยให้ตัวเองทำงานได้เสร็จไวมากขึ้น และเป็นสกิลที่คนยุคใหม่ชื่นชอบ แต่ความจริงแล้ว มนุษย์เราไม่ใช่คอมพิวเตอร์ คำว่า multitasking ไม่มีจริง

มันคือการแบ่งสมาธิไปทำงานชิ้นอื่น และสร้างความผิดพลาดให้งานหลักของคุณได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งงานที่ควรจะเสร็จได้ไว เพราะคุณตั้งใจทำทุกอย่างให้เสร็จในคราวเดียว กลับต้องสลับไปมา ทำงานนั้นที งานนี้ที ซึ่งเมื่อเริ่มต้นสลับ ก็จะทำให้คุณต้องใช่สมาธิ และสติยิ่งขึ้น เหมือนเริ่มทำงานใหม่แบบไม่ไหลลื่น

ตรงนี้เองที่แม้ multitasking skill จะดูเหมือนช่วยให้คุณทำงานได้ แต่ในความจริงมันกลับยิ่งช้าลงกว่าเดิม