รู้จัก “ฉลากเขียว” เครื่องหมายช่วยสะท้อนความยั่งยืนของแบรนด์ต่อสิ่งแวดล้อม
ฉลากเขียวของประเทศไทย ริเริ่มขึ้นโดยองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Thailand Business Council for Sustainable Development, TBCSD)
“ค่าครองชีพ” ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในเรื่องของความเป็นอยู่ เพราะหากรายจ่ายไม่สอดคล้องกับรายรับ การใช้ชีวิตในแต่ละวันคงเป็นไปด้วยความยากลำบากทำให้คุณภาพชีวิตไม่ดีเท่าที่ควร อีกด้านหนึ่งหากเป็นเมืองที่ค่าครองชีพต่ำก็ย่อมดึงดูดให้ผู้คนต่างถิ่นเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว พำนักอาศัย ก่อให้เกิดการสร้างรายได้ให้กับคนที่ทำธุรกิจภายในพื้นที่
มีปัจจัยหลายด้านด้วยกันที่ผลักดันให้เมืองแต่ละเมืองมีค่าครองชีพที่แตกต่างกันออกไป โดยผลสำรวจของ อีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต หน่วยงานเกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อมูลทางเศรษฐกิจจัดทำรายงานประจำปี จัดอันดับเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลกประจำปี 2020 ขึ้นมา
การสำรวจในครั้งนี้ได้ทำการเก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง 133 เมืองใหญ่ทั่วโลก โดยมุ่งประเด็นไปที่การเปรียบเทียบรายการสินค้า และบริการในชีวิตประจำวันจำนวน 138 รายการ ตั้งแต่เดือนกันยายน ที่ผ่านมา
สำหรับผลการสำรวจในครั้งนี้พบว่า มีเมืองที่ค่าครองชีพแพงที่สุดในปี 2020 จำนวน 3 เมืองด้วยกัน ได้แก่ปารีส ฝรั่งเศส, ฮ่องกง, ซูริก สวิตเซอร์แลนด์ ขณะที่สิงคโปร์ตกลงไปอยู่ในอันดับ 4 ตามมาด้วยโอซากา ญี่ปุ่น ที่อยู่ในอันดับ 5 ซึ่งความน่าสนใจอยู่ที่ทั้งสองเมืองเคยติดอันดับ 1 ร่วมกับฮ่องกงมาก่อนหน้านี้ แต่การสำรวจครั้งล่าสุดปรากฏว่ามีอันดับลดลงจากเดิม
10 อันดับเมืองที่ค่าครองชีพแพงที่สุดในปี 2020
1.ปารีส ฝรั่งเศส, ฮ่องกง, ซูริก สวิตเซอร์แลนด์
4.สิงคโปร์
5.โอซากา ญี่ปุ่น, เทลอาวีฟ อิสราเอล
7.เจนีวา สวิตเซอร์แลนด์
8.นิวยอร์ก สหรัฐฯ
9.โคเปนเฮเกน เดนมาร์ก
10.ลอสแอนเจลิส สหรัฐฯ
ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันดับมาจากหลายส่วนด้วยกัน โดยเฉพาะเมืองในยุโรปที่พาเหรดเข้ามาติด 7 จาก 10 อันดับ ซึ่งมีสาเหตุมาจากสกุลเงินของยุโรปที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับเมืองอื่น ๆ เช่นเดียวกับ สิงคโปร์, โอซากา ของญี่ปุ่นที่อันดับลดลง เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ชาวต่างชาติย้ายออก รวมถึงการบริโภคที่ซบเซา
ส่วนกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทยนั้นถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 46 จากเดิมที่เคยอยู่ในอันดับที่ 20 จากการสำรวจครั้งที่แล้ว