“กองทุนรวม” เครื่องมือทำให้เงินงอกเงย แถมช่วยลดหย่อนภาษีให้กับคนมีรายได้


หากพูดถึงเรื่องของ “กองทุนรวม” อาจจะกล่าวได้ว่านี่คือเครื่องมือที่จะช่วยให้เงินงอกเงยในอนาคต ทำให้มีอิสระภาพทางการเงินโดยไม่ต้องเป็นภาระของใคร

ทุกวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่มักจะมีเงินเก็บฝากไว้ในบัญชีเงินฝากทั้งในรูปแบบออมทรัพย์ หรือฝากประจำ ซึ่งเป็นเรื่องที่คุ้นชินกันมาอย่างยาวนาน แต่อีกด้านก็ยังมีเครื่องมือที่เรียกว่า “กองทุนรวม” ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าการฝากเงินในรูปแบบออมทรัพย์ หรือฝากประจำ

หลายคนอาจมีคำถามว่า “กองทุนรวม” คืออะไร? ในเรื่องนี้ หากจะอธิบายง่าย ๆ ก็การนำเงินทุนของแต่ละคนมารวมกันผ่านทาง บลจ. ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสถาบันทางการเงิน และจัดสรรแบ่งไปลงทุนในสินทรัพย์ตามวัตถุประสงค์/นโยบายของกองทุนนั้น ๆ แล้วนำผลตอบแทนกลับมาเฉลี่ยให้กับผู้ซื้อกองทุน

นั่นหมายความว่าหากใครที่สนใจอยากซื้อกองทุนรวมก็ไม่ได้มีขั้นตอนที่ยากลำบากอะไร เพียงแค่เดินไปที่ธนาคารเพื่อขอเปิดบัญชีกองทุน แค่นี้เป็นอันเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่ากองทุนรวมเหมาะอย่างยิ่งกับผู้ที่เป็นพนักงานบริษัท รวมถึงผู้ประกอบการธุรกิจที่อยากจะลงทุน มีเงินเก็บไว้ใช้ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม การลงทุนแต่ละครั้ง ผู้ลงทุนควรมีเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ต้องการออมเงินเพื่อซื้อรถยนต์, ออมเงินไว้เรียนต่อ หรือออมเงินไว้ใช้ยามเกษียณ หลังจากนั้นประเมินว่าต้องใช้เงินทุนเท่าไหร่ แล้วไปศึกษากองทุนแต่ละรูปแบบว่าผลตอบแทนที่ผ่านมาเป็นอย่างไร กองทุนไหนจะทำให้เราไปถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้ได้ แน่นอนว่าหลายคนคงได้ยินวลีที่ว่า “การลงทุนเป็นความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนการลงทุน” ซึ่งความหมายของความเสี่ยง ณ ที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผลลัพธ์ในเชิงเท่านั้น แต่ก็มีเชิงบวกเช่นกันที่ความเสี่ยงจะทำให้ได้ผลตอบแทนสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้

แล้วอย่างนี้เราจะรู้ได้ไงว่าจะรับความเสี่ยงได้มาก-น้อยแค่ไหน เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะก่อนที่จะเลือกซื้อกองทุนทุกครั้ง ทางธนาคารจะมีแบบประเมินให้ทำว่าเราจะรับความเสี่ยงได้มากเท่าไหร่ ซึ่งมีตั้งแต่ระดับ 1-8

ด้านกองทุนก็จะมีหลายรูปแบบคล้ายกับการเลือกซื้อสินค้าที่ให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อ โดยพิจารณาจากหนังสือชี้ชวนที่จะรวบรวมรายละเอียดของกองทุนนั้นว่าเป็นอย่างไร ซึ่งกองทุนที่พบเห็น เช่น กองทุนทั่วไป, กองทุน SSF รวมถึงกองทุน RMF ที่จะมาบอกกล่าวในบทความนี้

สำหรับกองทุน RMF มีวัตถุประสงค์การลงทุนระยะยาว เพื่อการเกษียณอายุ ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากเราจะเห็นชื่อต่อท้ายกองทุนของ บลจ. ต่าง ๆ ลงท้ายว่าการเลี้ยงชีพ ซึ่งเงื่อนไขที่สำคัญของกองทุน RMF คือคุณจะขายหน่วยลงทุนคืนได้เมื่อมี 55 ปีบริบูรณ์ และต้องถือมาอย่างน้อย 5 ปี

เรามาวิเคราะห์กันว่า เพราะอะไรกองทุน RMF จึงเหมาะกับพนักงานบริษัท และผู้ประกอบการ โดยแบ่งหัวข้อได้ดังต่อไปนี้

1.ลดหย่อนภาษี

จุดเด่นของกองทุน RMF คือสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องซื้อไม่เกิน 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษี เมื่อรวมกับกองทุน SSF, ประกันบำนาญ และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ห้ามเกิน 500,000 บาท ซึ่งเรื่องผู้ลงทุนต้องคำนวณให้ดีเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์อย่างเต็มที่

2.ไม่ต้องใช้เงินลงทุนเยอะ

สำหรับพนักงาน และผู้ประกอบการต่างต้องมีภาระหน้าที่ต้องใช้เงินในหลายเรื่อง ดังนั้น การค่อย ๆ ลงทุน โดยใช้เงินจำนวนไม่มากก็มีความน่าสนใจอยู่ไม่ได้ ล่าสุด RMF มีการปรับเงื่อนไขไม่จำกัดเงินขั้นต่ำในการซื้อ จากเดิมที่กำหนดขั้นต่ำ 5,000 บาท หรือ 3% ของรายได้ของปีนั้น โดยเมื่อไปสำรวจกองทุน RMF ของแต่ละ บลจ. ก็จะพบว่าใช้เงินลงทุนเริ่มต้นแค่ 500 บาท เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การลงทุนระยะแบบนี้ เรื่อง “วินัย” เป็นเรื่องสำคัญ โดยรูปแบบการลงทุนที่อยากแนะนำ คือ Dollar Cost Average (DCA) ที่เป็นทยอยการลงทุนกำหนดวันอย่างชัดเจน เช่น ทุกวัน, ทุกสัปดาห์, ทุกเดือน หรือทุกปี เช่น ลงทุนทุกวันที่ 30 ของเดือน เพราะเป็นวันเงินเดือนออก ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คนในยุคปัจจุบัน

ข้อดีของ DCA คือจะทำให้ผู้ลงทุนได้ราคาเฉลี่ยสินทรัพย์นั้น ๆ แม้ว่าราคาจะขึ้น หรือลงก็ตาม

3.มีคนดูแลให้

ด้วยภาระหน้าที่ แน่นอนว่าพนักงานบริษัท และผู้ประกอบการไม่น่าจะมีเวลามาดูตลาดหุ้นว่าเป็นอย่างไร โดยกองทุนรวมจะมีข้อดีอยู่ว่าจะมีผู้จัดการกองทุนมาคอยดูแล ที่จะเป็นผู้กำหนดว่าจะนำเงินไปลงทุนในส่วนไหนบ้าง เช่น ตราสารหนี้, หุ้นกู้ หรือหลักทรัพย์อื่น ๆ แตกต่างจากหากไปลงทุนในหุ้นที่นักลงทุนต้องมานั่งศึกษาหุ้นแต่ละตัว รู้ว่าจังหวะไหนควรซื้อ จังหวะไหนควรขาย

ดังนั้น กองทุนรวมจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อกองทุนได้ในระดับหนึ่ง เพราะมีมืออาชีพคอยมาดูแลให้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ที่จะลงทุนก็ควรทำการบ้านมาก่อนว่ากองทุนที่เลือกนั้นนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อะไรบ้าง