อาจจะกล่าวได้ว่าในแวดวงการทำธุรกิจ ผู้ใดรู้เทรนด์ที่จะมาในอนาคตย่อมสร้างความได้เปรียบในการทำธุรกิจ เช่นเดียวกับในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่วันข้างหน้าเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจะเข้ามาแทนที่รถยนต์เชื้อเพลิง
หลายคนอาจจะมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไกลตัว เพราะคุ้นชินกับการใช้รถยนต์เชื้อเพลิงมาเป็นระยะเวลานาน และไม่คิดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม เทรนด์ของรถยนต์ไฟฟ้ากำลังคืบคลานเข้ามาเรื่อย ๆ เห็นได้จากตามประเทศต่าง ๆ ที่เริ่มมีการรณรงค์ สนับสนุนให้ใช้รถยนต์ประเภทดังกล่าว ซึ่งมีข้อดีหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม, ลดการปล่อยก๊าซมลพิษ
สำหรับ Tesla กลายเป็นแบรนด์แรก ๆ ที่เริ่มต้นผลิตรถยนต์ไฟฟ้า จากวันนั้นมาถึงวันนี้ Tesla กลายเป็นผู้นำของแบรนด์อุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีมูลค่าบริษัทสูงถึง 16,300,000 ล้านบาท สูงกว่า Toyota ที่มีมูลค่าอยู่ที่ 6,640,000 ล้านบาท ถึง 2.5 เท่า ด้วยมูลค่าเติบโต 6.6 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ Elon Musk กลายเป็นบุคคลที่มีมูลค่าทรัพย์สินมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก อยู่ที่ 1.279 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3.88 ล้านล้านบาท) ซึ่งมีปัจจัยมาจากจำนวนหุ้นของ Tesla ที่ปรับตัวพุ่งสูงขึ้น
ด้วยความเชื่อมั่นของธุรกิจทำให้นักลงทุนต่างมั่นใจว่าเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของยานพาหนะที่ผู้คนต้องใช้ในวันข้างหน้า โดย Tesla ก็ไม่หยุดที่จะรุกตลาดต่อเนื่องนอกเหนือจากสหรัฐฯ ซึ่งระยะหลังเราจะเห็นว่า Tesla เตรียมโปรเจกต์ต่าง ๆ ไว้มากมายในตลาดเอเชีย ดังต่อไปนี้
พร้อมตั้งฐานผลิตในไทย ขอข้อมูลรัฐบาลเตรียมลงทุน
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานถึงความเชื่อมโยงระหว่างยักษ์ใหญ่ด้านการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลก Tesla และประเทศไทย โดยระบุว่า Tesla มีความมุ่งมั่นที่จะขยายฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้นในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดี และเอื้อประโยชน์ต่อการเข้าไปลงทุน
สำหรับประเทศไทย” จัดอยู่ในกลุ่มที่ Tesla ต้องการเข้ามาลงทุนในด้านการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และยังมีการขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายการลงทุน และการส่งเสริมการลงทุนมายังรัฐบาลไทยด้วย โดยเฉพาะนโยบายลดหย่อนภาษี 8 ปี สำหรับการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยที่ Tesla ให้ความสนใจ
เตรียมปิดดีลโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในอินโดนีเซีย
ดูเหมือนว่า Tesla จะไม่ได้มองแค่การเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังมองไปถึงในส่วนของการตั้งโรงงานแบตเตอรี่ในอินโดนีเซียอีกด้วย
เริ่มแรก Tesla มีการพูดคุยกับรัฐบาลอินโดนีเซียถึงความเป็นไปได้ที่จะเข้าลงทุน “แร่นิกเกิล” ต่อมาได้มีการขยายการพูดคุยไปถึงขั้นการผลิตโรงงานแบตเตอรี่ โดยเหตุผลที่ทำให้ Tesla ให้ความสนใจอินโดนีเซียเป็นพิเศษ คืออินโดนีเซียเป็นแหล่งผลิต “แร่นิกเกิล” ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับนำมาผลิตแบตเตอรี่
สอดคล้องกับคำให้สัมภาษณ์ของ Joko Widodo ประธานาธิบดีของอินโดนีเซีย ที่ระบุว่ามีการเตรียมเจรจาพูดคุยกันระหว่างผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองฝ่าย ซึ่งอินโดนีเซียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีแร่นิกเกิลมากที่สุดในโลก และพร้อมที่จะเป็นผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ในภูมิภาค
หาก Tesla สามารถเข้ามาเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ จะช่วยกระตุ้นความคึกครื้นในเรื่องของเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนที่มีบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกเข้ามาลงทุน ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดการจ้างงาน หลังจากต้องได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ประกาศสร้างโรงงานเสาชาร์จในจีน
Tesla ประกาศแผนสร้างโรงานผลิตเสาซูปเปอร์ชาร์จในนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ด้วยเม็ดเงินลงทุนจำนวน 42 ล้านหยวน (ประมาณ 193 ล้านบาท) เพื่อเป็นสถานีซูเปอร์ชาร์จด่วนให้กับรถยนต์ไฟฟ้าภายในระยะเวลา 15 นาทีที่สามารถเพิ่มระยะทางการวิ่งอีก 250 กิโลเมตร
การดำเนินงานของ Tesla มีวัตถุประสงค์ที่ต้องการเพิ่มจำนวนสถานีซูเปอร์ชาร์จจากเดิมที่มี 30 แห่ง เสาชาร์จ 18 ต้น ใน 18 เมือง เพิ่มเป็นสถานีชาร์จ 650 แห่ง เสาชาร์จมากกว่า 5,000 ต้น ภายในปี 2020 นี้
ที่มา:
https://www.bloomberg.com/billionaires/?sref=ZO7H7YqE
https://www.xinhuathai.com/
https://www.tesmanian.com/blogs/tesmanian-blog/tesla-will-have-teleconference-with-thailand-industrial-economics-department-hints-global-expansion-continues
https://electrek.co/2020/11/13/tesla-tsla-inches-closer-battery-factory-deal-indonesia/