สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เผย “SME” เริ่มฟื้น หลังรัฐบาลออกมาตรการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ชี้! ถ้าโควิด-19 ไม่ระบาดซ้ำ ดีขึ้นต่อเนื่องแน่นอน!
นางสาวโชนรังสี เฉลิมชัยกิจ ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการ SME ในกลุ่มค้าขายทั่วไปเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 บ้างแล้ว โดยเฉพาะผลจากโครงการคนละครึ่งก็ยิ่งทำให้กำลังซื้อในเศรษฐกิจฐานรากฟื้นตัว ซึ่งได้ช่วยแบ่งเบาภาระให้กับประชาชน และทำให้ผู้ประกอบการขายสินค้าได้มากขึ้น
แต่ทั้งนี้ยอดขายโดยรวมของ SME ยังไม่ได้กลับมาเหมือนเดิม ยังคงลดลงจากภาวะปกติประมาณ 30% ซึ่งบางส่วนที่ยอดขายลดลงมาจากการการเลือกสินค้าเข้ามาขายลดลง เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
“ในภาคเศรษฐกิจของ SME ขณะนี้ได้ผ่านจุดต่ำสุดจากวิกฤตโควิดไปแล้ว ถ้าไม่มีการแพร่ระบาดรอบ 2 ภายในประเทศ ก็จะค่อยๆ ฟื้นตัว แต่ยอดขายจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็ต้องใช้เวลาอีกพอสมควรจนกว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะยุติ เพราะในช่วงโควิด-19 ประชาชนต่างซื้อของลดลง” น.ส.โชนรังสี กล่าว
ขณะที่ ในส่วนของธุรกิจ SME ที่อยู่ในภาคการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวโดยเฉพาะรายเล็ก เนื่องจากไม่ใช้กลุ่มเป้าหมายของลูกค้าที่เข้าโครงการ “ไทยเที่ยวไทย” เนื่องจากนักท่องเที่ยวที่เข้าโครงการนี้จะเลือกไปโรงแรมขนาดใหญ่มากกว่า รวมทั้งนักท่องเที่ยวไทยยังไม่สามารถทดแทนนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติล้วนแต่ยังคงย่ำแย่ ดังนั้นภาครัฐควรจะต้องปรับปรุงโครงการไทยเที่ยวไทย เพื่อให้ผู้ประกอบการรายเล็กได้รับประโยชน์จากโครงการนี้
ส่วนผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 รอบ 2 ในพื้นที่ภาคเหนือ และอีกหลายจังหวัดนั้น หากสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อต่อไปอีก 1-2 สัปดาห์ ยังไม่สามารถจำกัดพื้นที่ได้ จะส่งผลกระทบต่อ SME ภาคการท่องเที่ยวทันที โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ เป็นการซ้ำเติมธุรกิจท่องเที่ยวให้ย่ำแย่ลงไปอีก
โดยรัฐบาลควรสร้างความรู้ความเข้าใจ ให้ประชาชนไประมาท แต่ไม่ถึงกับตื่นตระหนก และพยายามจำกัดการระบาดให้อยู่ในวงแคบ ให้กระทบต่อเศรษฐกิจภาคส่วนอื่น ๆ น้อยที่สุด ให้ดำเนินกิจการได้ตามปกติ
“ในช่วงเดือน ม.ค.2564 จะเป็นเดือนสุดท้ายสิ้นสุดมาตรการพักชำระหนี้ของรัฐบาล ซึ่ง SME จะต้องเริ่มมาผ่อนจ่ายชำระหนี้ให้กับธนาคารต่างๆ”
ดังนั้น หากโควิดกลับมาแพร่ระบาดในช่วงดังกล่าวและรัฐบาลต้องประกาศล็อกดาวน์รอบ 2 ก็จะยิ่งซ้ำเติม SME อย่างรุนแรงทำให้ไม่มีเงินมาจ่ายหนี้ ส่งผลให้มีโอกาสที่จำนวนเอ็นพีแอลจะเพิ่มขึ้นอีก
สำหรับภาวะ SME ในปี 2564 หากไม่มีการระบาดรอบ 2 มองว่า SME จะเริ่มลงทุนเปลี่ยนระบบการผลิตและการบริหารจัดการ โดยมุ่งปรับตัวตามตลาดที่เปลี่ยนไปหลังการระบาด รวมทั้งจะปรับเปลี่ยนมาสู่เทคโนโลยีดิจิทัลในทุกด้าน ตั้งแต่ระบบการผลิต การบริหารจัดการ การตลาด และการบริการ ที่จะเข้มข้นมากกว่าในช่วงที่มีการระบาดของโควิด รวมทั้งจะเกิดผู้ประกอบการสตาร์ทอัพเทค เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับธุรกิจที่เปลี่ยนไป
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการขนาดเล็กยังมีจุดอ่อนในเรื่องของบุคลากร ที่ส่วนใหญ่เจ้าของกิจการจำทำทุกอย่างเอง ตั้งแต่การควบคุมการผลิต การตลาด การขาย ทำให้ไม่มีเวลาไปให้น้ำหนักในเรื่องดิจิทัลได้เต็มที่ และเทคโนโลยีนี้ยังคงต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดำเนินการ โดยเฉพาะในด้านดิจิทัลที่เกี่ยวชข้องกับการค้าออนไลน์
สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยจึงได้จัดทำ “โครงการ 1 จังหวัด 1 เทรดเดอร์” เพื่อสนับสนุนให้แต่ละจังหวัดเกิดบริษัทเทรดเดอร์เข้ามาจัดหาสินค้าจาก SME และโอท็อปไปจำหน่ายผ่านทางออนไลน์และหน้าร้านค้าปกติ
ซึ่งจะเพิ่มช่องทางการค้าออนไลน์ให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ยังไม่เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล หรือตลาดออนไลน์ และการตัดส่งสินค้า ซึ่งจะทำให้ SME รายเล็กเหล่านี้ขายสินค้าได้มากขึ้น และในอนาคตหากมีความเข็มแข็งก็เข้ามาดำเนินการด้านการค้าออนล์เองก็ได้ ซึ่งการที่มีช่องทางการค้าหลายช่องทางก็ยิ่งทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น
“ในขณะนี้ โครงการ 1 จังหวัด 1 เทรดเดอร์ ประสบความสำเร็จมีเทรดเดอร์เข้ามาช่วยเปิดตลาดออนไลน์ให้ผู้ประกอบการรายเล็กแล่วกว่า 50 จังหวัด แต่ละจังหวัดจะมีเอสเอ็มอีเทรดเดอร์เป็นตัวแทนขายสินค้าอิสระให้กับผู้ประกอบการภายในจังหวัด ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้มแข็งขึ้น” ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าว