จัดอันดับ Top 5 แฟรนไชส์ดังระดับโลกที่ใครๆ ก็อยากลงทุน


ในแต่ละปีการแข่งขันในธุรกิจแฟรนไชส์เป็นไปอย่างดุเดือด เกิดธุรกิจหน้าใหม่ในตลาดขึ้นอย่างเสมอ ด้วยการจัดการที่เป็นระบบจึงทำให้แฟรนไชส์ดึงดูดผู้ที่อยากจะทำธุรกิจอยู่ไม่น้อย

เว็บไซต์ entrepreneur ทำการจัดอันดับ Top แฟรนไชส์ในสหรัฐฯ โดยพิจารณาเก็บข้อมูล 5 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ 1.ราคา-ค่าธรรมเนียม 2.ขนาด-การเติบโต 3.การสนับสนุนช่วยเหลือ 4.ความแข็งแกร่งของแบรนด์ 5.ความมั่นคงทางการเงินและเสถียรภาพ

สำหรับ Top 5 แฟรนไชส์จะมีแบรนด์อะไรบ้างนั้นมาดูกัน โดยหลายแบรนด์เชื่อว่าน่าจะคุ้นตาหลายคนเป็นอย่างดี

อันดับ 1 Dunkin

เริ่มต้นแฟรนไชส์ : 1955

จำนวนร้าน : 12,957 สาขา

ราคาแฟรนไชส์เริ่มต้น: 395,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ – 1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

 

 

นี่คือแฟรนไชส์ที่มาเป็นอันดับ 1 และเป็นแบรนด์ร้านขายโดนัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยในช่วงปี 2019 เกิดการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจที่สำคัญ เมื่อ Dunkin Brand Group ผู้บริหารสิทธิ์ทำการรีแบรนด์ใหม่ เหลือคำว่า Dunkin เพียงอย่างเดียว และตัดคำว่า Donut ออก เป็นการสื่อความหมายว่าธุรกิจไม่ได้ขายแต่โดนัทเท่านั้น แต่ยังมีเมนูอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น อาหารเช้า, เครื่องดื่ม, ขนม รวมอยู่ด้วย

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเปรียบเสมือนการปล่อยวางรูปแบบธุรกิจแบบดั้งเดิมที่เคยทำกันมา พร้อมเดินหน้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

การจัดอันดับในครั้งนี้เป็นครั้งแรกของ Dunkin ที่ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 หลังเปิดตัวครั้งแรกในอันดับที่ 17 เมื่อปี 1980 และอยู่ในอันดับ 2 ตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา

2. Taco Bell

เริ่มต้นแฟรนไชส์ : 1964

จำนวนร้าน :7,136 สาขา

ราคาแฟรนไชส์เริ่มต้น: 525,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ- 2.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

 

 

ทศวรรษที่ผ่านมา Taco Bell ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 45 ของ 500 Top แฟรนไชส์ 500 อันดับ แต่มาวันนี้ Taco Bell ก้าวเข้ามาอยู่ในอันดับ 2 เป็นที่เรียบร้อย จากปัจจัยการเติบโตของบริษัท โดยในปี 2018 ธุรกิจอาหารฟาสต์ฟู้ดรายนี้เติบโต 6% คิดเป็นมูลค่า 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

กุญแจสำคัญที่ทำให้ Taco Bell เติบโตอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นให้ความสำคัญในเรื่องของบริการที่มีความสะดวกสบาย โดยการใช้ระบบ POS รวมเข้ากับแอป Grabhub โดยตรง และมีสถานที่จัดอาหารแบบเดลิเวอรีจำนวน 4,800 แห่งในสหรัฐฯ

3. McDonald’s

เริ่มต้นแฟรนไชส์ : 1955

จำนวนร้าน :38,108 สาขา

ราคาแฟรนไชส์เริ่มต้น: 1.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ – 2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

 

 

McDonald’s เป็นแฟรนไชส์ที่มีสาขามากกว่า 38,000 แห่ง โดยธุรกิจยังไม่หยุดที่จะเติบโต เมื่อบริษัทเดิมพันครั้งสำคัญด้วยการใช้เทคโนโลยี และแพลตฟอร์มเข้ามาเพิ่มความเร็วในเรื่องการให้บริการเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงง่ายมากกว่าเดิม แม้ว่าการลงทุนวางระบบในครั้งนี้จะมีมูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และไม่มีใครการันตีว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่สิ่งที่ควรรู้คือการรับออเดอร์ของ McDonald’s เป็นไปอย่างรวดเร็ว ใช้เวลา 10 ออเดอร์ ต่อวินาที

4. Sonic Drive-In

เริ่มต้นแฟรนไชส์ : 1959

จำนวนร้าน :3,600 สาขา

ราคาแฟรนไชส์เริ่มต้น: 1.2 ล้านดอลารสหรัฐฯ – 3.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

 

 

Sonic Drive-In ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 60 ปี โดยแนวทางการทำงานของแฟรนไชส์จะโฟกัสไปที่อนาคต ไม่เพียงแค่สร้างสรรค์ และเปลี่ยนเมนูอย่างต่อเนื่องเท่านั้น Sonic ยังมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อช่วยเหลือลูกค้าให้ได้รับบริการที่มีความเหมาะสม

โดยในปี 2018 Inspire Brands เข้าซื้อกิจการด้วยเม็ดเงิน 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และในปีที่ผ่านมาบริษัทมีการปรับเปลี่ยนโลโก้ใหม่ ซึ่งแน่นอนว่า Sonic Drive-In ยังคงไม่หยุดที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตไว้แค่นี้อย่างแน่นอน

5.The UPS Store

เริ่มต้นแฟรนไชส์ : 1980

จำนวนร้าน: 5,166 สาขา

ราคาแฟรนไชส์เริ่มต้น: 138,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ-470,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ

 

 

UPS Store เป็นบริการขนส่งสินค้า และโลจิสติกส์ระดับโลก โดย Tim Davis ประธาน UPS Store เคยให้สัมภาษณ์ว่านี่คือกลุ่มธุรกิจที่น่าสนใจสำหรับเรา ซึ่ง UPS Store ไม่ใช่กิจการที่ดูล้าหลัง การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่เห็นได้ชัด คือการลงนามข้อตกลงกับผู้ค้าปลีกรายใหญ่หลายราย

แน่นอนว่าธุรกิจในกลุ่มนี้ยังสามารถเติบโตได้อีกตามอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซที่ขยายตัวตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้น

ที่มา: entrepreneur