เปิดข้อมูลอีกด้านของเงินดิจิทัล! “บิตคอยน์” แม้จะสร้างรายได้ให้กับนักลงทุนมหาศาล แต่ก็ทำลายโลกได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ภายหลัง บริษัท เทสลา อิงก์ บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของ อีลอน มัสก์ ทุ่มลงทุนซื้อบิตคอยน์ในที่มีอยู่ในตลาดในมูลค่ากว่า 1,500 ล้านดอลลาร์ หรือราว 45,000 ล้านบาท การทุ่มทุนซื้อดังกล่าว ทำให้มูลค่าของ “บิตคอยน์” พุ่งทะยาน จากเดิม 5,440 ดอลลาร์/เหรียญ (163,200 บาท) เป็น 46,000 ดอลลาร์/เหรียญ ( 1.38 ล้านบาท) และมีแนวโน้มที่จะพุ่งขึ้นเรื่อย ๆ
แม้บิตคอยน์ จะสร้างรายได้มหาศาลให้กับนักลงทุนทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย แต่เหรียญมักมี 2 ด้าน และอีกด้านหนึ่งในมุมมืด บิคอยน์ กลับกำลังทำลายทรัพยากรของโลกอย่างรวดเร็ว
ที่มาของ บิตคอยน์ คือการการนำคอมพิวเตอร์ของคุณเข้าไปช่วยการประมวลผลการทำงานของระบบบิตคอยน์ เครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องแข่งประมวลผลการทำรายการให้ได้เร็วที่สุด โดยเรียกวิธีการว่า “การขุดบิตคอยน์” แล้วรู้หรือไม่ว่า “การขุดบิตคอยน์” ดังกล่าว ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นจำนวนมากแค่ไหน
ข้อมูลจาก มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ พบว่าตั้งแต่เดือน ธ.ค.63 -ม.ค.64 มีการใช้พลังงานเพื่อการขุด บิตคอยน์ อยู่ที่ระหว่าง 80-120 เทราวัตต์ชั่วโมงต่อปี โดยกราฟดังกล่าวเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่เข้าสู่เดือน ม.ค.64
จากการศึกษา (ในปี 2562) พบว่า บิตคอยน์ใช้พลังงานไฟฟ้าประมาณ 61.76 เทราวัตต์ชั่วโมง (TWh) ต่อปี โดย 1 TWh จะเท่ากับ 1 พันล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมงต่อปี ซึ่งมากกว่าการใช้ไฟฟ้าของประเทศจำนวนมาก และคิดเป็นสัดส่วน 0.28% ของการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งโลก
หากเปรียบเทียบ การใช้ไฟฟ้าของบิตคอยน์กับประเทศต่าง ๆ เราจะพบว่า บิตคอยน์ได้ใช้พลังงานไฟฟ้ามากกว่า การใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่มีการใช้ไฟฟ้า 58.46 TWh ซึ่งถือเป็นเป็นประเทศที่ใช้ไฟฟ้ามากอันดับที่ 41 ของโลก ด้านประเทศไทย เรามีการใช้ไฟฟ้า 187.7 TWh ต่อปี สูงสุดเป็นอันดับ 22 ของโลก
ด้านผลการศึกษาของ “Alex De Vries” ผู้ก่อตั้งนิตยสารคริปโตเคอร์เรนซีออนไลน์ Digiconomist พบว่า ปัจจุบันการขุดบิตคอยน์ทั้งโลกใช้พลังงานถึงกว่า 78 เทราวัตต์ โดยการส่งบิตคอยน์ 1 ครั้ง จะเทียบเท่ากับการใช้ไฟฟ้า ของ 1 ครัวเรือนในเวลาถึง 2 เดือนเลยทีเดียว
ที่น่าตกใจ คือการส่งบิตคอยน์ 1 ครั้ง ใช้พลังงานเทียบเท่าการดูยูทูปยาวนานถึง 52,000 ชั่วโมง และในปริมาณพลังงานที่เท่ากัน บริษัท Visa ประมวลผลธุรกรรมได้ถึง 780,000 รายการ
ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้การขุดบิตคอยน์ ใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลือง เนื่องมาจาก 98% ของการขุดต้องใช้อุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีส่วนในการตรวจสอบธุรกรรมใด ๆ โดยมีเพียง 2% ที่ทำงานได้เร็วพอและถอดรหัสเพื่อเป็นผู้เพิ่มบล็อกถัดไปลงไปบนบล็อกเชนได้
นอกจากนี้ข้อมูลของ “Alex De Vries” ยังบ่งชี้อีกว่า ธุรกิจการขุดบิตคอยน์ ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศจีน ซึ่งใช้พลังงานถ่านหินในการผลิตไฟฟ้า โดยถ่านหินเหล่านี้เป็นต้นเหตุของการก่อมลพิษมากเป็นลำดับต้น ๆ ของโลก
ขณะที่ข้อมูลการวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาวาย ในปี 2561 พบว่าพลังงานไฟฟ้าที่บิตคอยน์ และเงินดิจิทัลตระกูลอื่น ๆ ใช้ในการถ่ายโอนนั้น อาจทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นถึง 2 องศาเซลเซียส ในปี 2576
สำหรับอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 2 องศาฯ ดังกล่าว อาจทำให้ปริมาณน้ำในบางพื้นที่ของทวีปแอฟริกา และทะเลเมดิเตอเรเนียน ลดลงมากถึง 30% นอกจากนี้อาจเป็นสาเหตุทำให้ หมีขั้วโลก เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ และผู้คนกว่า 10 ล้าน ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมพื้นที่ชายฝั่งอีกด้วย
นอกจากนี้ พลังงานที่ใช้ในกระบวนการบิตคอยน์ ยังก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มากถึง 19.0 – 29.6 ล้านเมตริกตัน คาร์บอนฟุตปรินต์ของคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดในการทำธุรกรรมแต่ละครั้งเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 233.4 – 363.5 กก.
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันแม้การขุดบิตคอยน์จะหันเหทิศทางมาใช้พลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้น อย่างเช่น การใช้พลังงานจากโรงไฟฟ้าพลังงานลม อย่าง ฟาร์มขุดบิตคอยน์ใหญ่ที่สุดในโลกของ Bitmain ในเมืองร็อกเดล รัฐเท็กซัส สหรัฐฯ ซึ่งมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการใช้ถ่านหิน
หรือการใช้พลังงานไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำที่มาจากเขื่อนในพื้นที่มณฑลเสฉวนของจีน ซึ่งประมาณการกันว่าเป็นแหล่งรวมโรงงานขุดบิตคอยน์ขนาดใหญ่มากกว่า 48% ของกำลังการขุดทั่วโลก แต่การสร้างเขื่อนก็ทำให้สูญเสียพื้นที่ทรัพยากรป่าไม้ รวมทั้งสูญเสียความสมดุลของทรัพยากรสัตว์น้ำไปเช่นกัน
หากลองมองย้อนอดีตที่แล้วมา เราพบว่า บิตคอยน์ ได้ทำให้โลกต้องสูญเสียทางด้านพลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่ทำให้โลกมีสุขภาพที่แย่ลง โดยแลกมาซึ่งรายได้ของนักลงทุน ที่มีมูลค่ามหาศาลเพียงไม่กี่คน นั้นคุ้มค่า และทดแทนกันได้แล้วหรือ