ถ้าคุณเองกำลังเข้าสู่ช่วงที่รู้สึกว่าธุรกิจใหม่กำลังจะไปไม่รอด และหมดสิ้นหนทางในการทำธุรกิจ หรือเฝ้าแต่โทษตัวเองจนสุขภาพจิตใจและร่างกายเสื่อมโทรมลง แนะนำให้เอา 6 ข้อคิดเหล่านี้ไปปรับใช้ดู คุณจะรู้ว่าจริงๆ แล้วการล้มเหลวครั้งนี้มันก็ให้อะไรกับคุณไม่น้อยเหมือนกัน
1. ได้ทำในสิ่งที่อยากทำสักที
การก้าวออกมาจากคอมฟอร์ทโซนได้เป็นเรื่องที่กล้าหาญมาก มีหลายคนที่อยากจะทำนู่นทำนี่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ลงมือทำจริงๆ สักที เพราะมีความกลัวครอบงำเต็มไปหมด การลงมือทำธุรกิจแล้วเจ๊ง อย่างน้อยก็ทำให้คุณกลายเป็นคนที่มีความกล้า และเชื่อเถอะว่าเรื่องนี้ไม่ใช่สร้างกันได้ง่ายๆ อีกหน่อยเมื่อคุณเจอช่องทางอะไร คุณจะตัดสินใจและเริ่มได้ไวกว่าทุกคนแน่นอน นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคุณถึงจะเป็นคนกลุ่มแรกที่เข้าถึงโอกาสใหม่ๆ ก่อนเสมอ
และเพราะบทเรียนจากการทำธุรกิจที่แล้วมานี่เองที่จะส่งผลให้คุณระมัดระวัง รอบคอบ รวมถึงตัดสินใจอย่างชาญฉลาดในอนาคต แบบที่คนไร้ประสบการณ์ไม่มีทางเข้าใจ
2. มีคอนแทคใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเพียบ
คอนแทคยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการทำธุรกิจอยู่ดี ซึ่งการที่คุณเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ถึงแม้มันจะเจ๊งไม่เป็นท่า แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยให้คุณได้พบเจอกับเพื่อนใหม่ คู่ค้าใหม่ พาร์ทเนอร์ธุรกิจใหม่ๆ รวมถึงจะได้คอนแทคจากเหล่าลูกน้องในทีม ซึ่งในอนาคตเมื่อไหร่ที่คุณวางแผนจะกลับมายืนหยัดอีกครั้ง คุณก็จะสามารถติดต่อคนที่มีฝีมือดีเหล่านี้ เพื่อชักชวนมาร่วมงานได้ทันที
รวมทั้งเหล่าคอนแทคดีๆ ที่ได้เพิ่มมาจากธุรกิจก่อนหน้า ก็พร้อมจะช่วยเหลือคุณเมื่อยามที่คุณต้องการแน่นอน ซึ่งถ้าไม่เริ่มต้นทำขึ้นมา ก็ไม่มีโอกาสสร้างสัมพันธ์อันดีเหล่านี้ให้เกิดขึ้นได้เลย
3. เข้าใกล้ความสำเร็จไปอีกขั้น
ยิ่งล้มเหลว ยิ่งทำให้คุณเข้าใกล้ความสำเร็จ เพราะบทเรียนที่คุณได้รับมาจะไม่มีทางที่ใครได้เข้าใจถ้าเขาไม่เจอกับตัวเอง คนเราจะซึมซับข้อผิดพลาด และไม่ทำซ้ำได้มากขึ้นไปอีกเมื่อต้องพบเจอกับมันเอง ประสบการณ์ที่ได้จะสอนให้คุณก้าวข้ามสิ่งต่างๆ ที่อาจส่งผลเสียต่อธุรกิจในอนาคต รวมทั้งยังหล่อหลอมให้คุณกลายเป็นคนรอบคอบ มีระเบียบ วินัย และไม่เดินพลาดซ้ำในหนทางเดิม
4. พัฒนาทักษะของคุณในทุกๆ ด้าน
แน่นอนว่าการทำธุรกิจไม่เหมือนกับการวาดฝันเอาไว้ เพราะชีวิตจริงคุณต้องเจอบททดสอบเข้ามามากมาย ทั้งเรื่องการตัดสินใจให้รอบคอบ เรื่องการขาย เรื่องการทำคอนเทนต์ ไปจนถึงการเจอกับปัญหาใหญ่ๆ ทั้งจากลูกค้า และจากพนักงานด้วยกัน นั่นเป็นการฝึกที่ไม่มีสิ่งไหนเทียบเคียงได้
คุณจะได้พัฒนาทักษะในทุกๆ ด้านอย่างแท้จริง ซึ่งส่งผลให้คุณมีสกิลติดตัวแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน รวมทั้งก่อนจะตัดสินใจปิดกิจการลง คุณจะต้องเผชิญปัญหามากมาย รวมถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าการตัดสินใจครั้งนี้มันไม่ง่ายเลย แต่คุณก็ผ่านมันมาได้ มันจะช่วยให้คุณเด็ดเดี่ยวขึ้น และทำธุรกิจได้อย่างดีแน่ในอนาคต
5. เปิดช่องทางการทำธุรกิจใหม่
เพราะธุรกิจเดิมที่ไปไม่รอดนั้น บางครั้งอาจไม่ใช่ความผิดของคุณด้วยซ้ำ แต่เป็นเพราะคนส่วนใหญ่ไม่นิยมในธุรกิจนั้นแล้ว เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ส่งผลให้การทำธุรกิจต้องมีการปรับตัว ถ้าฝืนทำต่อไป นอกจากจะไม่ได้กำไรแล้วอาจจะต้องเข้าเนื้อขาดทุนหนักจนทุนหมด
ซึ่งถ้าคุณเอาเงินที่เหลือตรงนี้ไปเปิดช่องทางธุรกิจใหม่ที่ดีและน่าสนใจมากกว่า ก็จะเป็นตัวเลือกให้คุณได้เป็นอย่างดีเช่นกัน และสร้างโอกาสประสบความสำเร็จได้มากขึ้นกว่าตัวเก่าแน่นอน
6. เข้าใจปัญหาที่คนอื่นไม่มีทางรับรู้
สุดท้ายแล้วการลองลงมือทำด้วยตัวเองจริงๆ ย่อมดีกว่าการฟังคนอื่นเล่าเป็นสิบๆ เท่า เพราะคุณจะต้องเจอและรับมือกับปัญหาเหล่านั้นด้วยตัวเองจริงๆ และรับรู้ถึงมันด้วยตัวเอง ซึ่งปัญหาบางอย่างถ้าคุณไม่อยู่ในจุดนั้นจะไม่มีทางเข้าใจแน่ๆ เช่น การเป็นผู้ประกอบการทำให้คุณไม่มีเวลาดูแลสุขภาพ เมื่อคุณยังไม่เคยเป็นผู้ประกอบการ คุณอาจมองว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญ
แต่เมื่อวันหนึ่งคุณได้ทำธุรกิจตัวเอง คุณจะรู้ได้ทันทีว่าอุปสรรคและปัญหาที่ต้องเจอจริงๆ มันมีนอกเหนือตำรามากขนาดไหน และต้องทำยังไงในการฝ่าฟันสิ่งเหล่านั้นไปได้ คุณจะมีการจัดการ การวางแผนที่ดีมากขึ้น และช่วยให้การทำธุรกิจใหม่ไม่ต้องล้มลุกคลุกคลานเหมือนเดิม